27 Jul – 5 Aug 12 : Tibet – The Rooftop of the World (Part 4)

Day7(2/8/2555) : Lhasa – Namso Lake

                ค่ำคืนที่ผ่านมาช่างแสนสั้นจริงๆ นอนยังไม่ทันหายง่วงเลยก็เช้าซะแล้ว เติมพลังยามเช้ากับอาหารเช้าที่โรงแรมใหม่แห่งนี้ เนื่องจากมันไม่ใช่บุฟเฟต์จึงตักตุนเสบียงอะไรไม่ได้ ได้แต่สั่งกินเป็นจานๆ ก็กินๆมันเข้าไปขนมปังทาแยมกับไข่ต้มเนี่ย ยังอยู่ได้ครับ กินเสร็จเก็บของแล้วออกรถทันที วันนี้ไกด์บอกว่าเราชิลด์ๆสบายๆได้ มีเวลาเหลือเฟือ ปลายทางของวันนี้คือทะเลสาบนัมโซ ทะเลสาบที่สวยที่สุดในทิเบตครับ รู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆแล้วสิ เห็นว่าคืนนี้จะต้องนอนdormซะด้วย ไม่มีน้ำอาบ ห้องส้วมก็ไม่มีดีๆให้ใช้ อาหารไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง เอาวะๆ ลุยกันเลยครับ

                ในเส้นทางที่ผมได้ออกเดินทางวันนี้ก็ยังคงสวยงามไม่แพ้วันก่อนๆครับ มีท้องฟ้า มีเมฆ มีภูเขาหิมะ ต้นไม้ใบหญ้า และฝูงจามรี สลับผลัดเปลี่ยนเวรกันตลอดทาง ผมได้หยุดจอดถ่ายรูปเป็นช่วงๆ วันนี้เวลาและท้องถนนนั้นเป็นของผมครับ ก่อนจะไปถึงปลายทางก็มีน้ำพุร้อนให้แวะดู จะว่าไปก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากครับกับบ่อน้ำร้อน เดินลงไปดูเดินถ่ายรูป และเยี่ยมชมไข่ที่ต้มสุกแล้วในบ่อน้ำร้อน ตอนนั้นผมก็คิดอยู่ว่า ไม่ว่าบ่อน้ำร้อนที่ไหนก็เอาไข้ไปต้มในบ่อมาให้กรูกิน มีเมนูอื่นให้กรูบ้างมั๊ยเนี่ย ถ้ามีผักลวกจิ้มก็คงจะดี ตอนนั้นคิดเรื่องกินแบบนี้ก็รู้สึกหิวนิดๆครับ เวลาตอนนั้นก็เกือบเที่ยงแล้ว ไกด์แนะว่าอีกชั่วโมงกว่าๆจะถึงที่กิน ที่มีให้เลือกเยอะกว่าตรงนี้ พวกผมก็เลยตัดสินใจหิ้วท้องไปกินอีกที่เลยครับ แต่กว่าจะได้กินก็นานไม่ใช่น้อยนะครับ ทำเอาหิวไปตามๆกัน ดีที่ไม่ปวดท้อง ข้าวเที่ยงเป็นอาหารจีนที่กินพอได้ รสชาติก็โอเคอยู่ กินเพื่ออยู่จริงๆตอนนั้น ผมมีซื้อขนมปังหรือก้อนแป้งอะไรสักอย่างนี้ล่ะ ผมขอซื้อเตรียมไว้เป็นเสบียงกินในวันที่หาอะไรกินไมได้ครับ กลัวจังนิ ถ้าไม่มีอะไรกินที่นัมโซจะทำไง

                ระหว่างก่อนถึงทะเลสาบ จะผ่านพวกคนเร่ร่อน(Nomad family)ของที่นี่ ไกด์บอกว่าพวกนี้ นิสัยไม่ดี ไม่มีมารยาท อย่าไปถ่ายรูปหรือยุ่งด้วย ไม่งั้นจะเดินมาขอตังค์ เกาะไม่ปล่อย ก็ฟังๆไกด์เตือนครับ แต่ไม่มีโอกาสได้ลงไปคุยกับคนละแวกนี้หรอกครับ ก็ไม่จอดให้กรูลงหนิ ฮิฮิ ผมนั่งรถมาสักพักจนท้องเริ่มหายแน่น ก็ถึงจุดชมวิว นับว่าเป็นจุดสูงสุดของทริปนี้ก็ว่าได้ ก็อยู่สูงตั้ง 5190 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โอ้วว จะสูงไปไหน พอพวกผมออกไปจากรถตัวแทบปลิวครับ ลมแรงมาก จากจุดนั้นมองเห็นทะเลสาบนัมโซด้วย ใหญ่มากครับ สีฟ้าเข้มลับกับท้องฟ้าพอดี อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วครับผมโวยวายกับแรงลมและความสูงไปสักพัก ไม่ยักเหนื่อยเลยแฮะ สบายมากๆอ่า ฟิตจริงๆฟิตจัง มีความสุข ^^ ก่อนขึ้นรถก็ไปแรงกับชาวจีนเล็กน้อยที่มาแย่งถ่ายหน้าป้ายความสูง ผมจัดหนักสักที แซงคิวมันกลับ ยืนบังกล้องมัน แล้วเดินหล่อออกมาก กรูไม่สนเมิงหรอก ด่ากรูก็ฟังไม่รู้เรื่อง แสรดจริงเกลียดชาวจีนแผ่นดินใหญ่เว้ย ทำเอาตรูเสียอารมณ์

                รถวนเวียนไปตามทางถึงที่ราบกว้างใหญ่สีเขียว มองไกลก็เป็นเนินเขาเขียวขจีสุดลูกตา นึกๆก็เหมือนทุ่งหญ้าของพวกของมองโกเลียอย่างไงอย่างงั้นเลยครับ ถนนตัดผ่านกลางทุ่งไปสักระยะก่อนจะหักเลี้ยวขวาเข้าที่พักริมทะเลสาบ dormที่พักคืนนี้จัดว่าดีที่สุดแล้วในพื้นที่ริมทะเลสาบนี้ ผมกับเบิ้มก็จินตนาการไว้อย่างแย่เลยล่ะครับ เพราะเคยไปเนปาลแล้วมันแย่มาก แต่ที่นี่เตียงสบายกว่าเยอะ ห้องก็กว้างพอสมควร มันแคบลงทีหลัง เพราะพวกผมทำมันแคบเองครับ ก็อยากนอนด้วยกันครบห้าคน เลยเอาเตียงมีเสริมมาใส่ไว้กลางห้อง ห้องเลยเล็กลงถนัดตา พอผมจัดแจงวางของเสร็จก็ไปตามไกด์ให้พาไปจุดชมวิวริมทะเลสาบกันครับ

                ทะเลสาบนัมโซก็จัดเป็นหนึ่งในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของทิเบต จึงไม่มีใครมาขับถ่ายหรือต่อท่อปฏิกูลลงสู่ผืนน้ำนี้ แดดตอนสี่โมงเย็นของที่นี่ยังกะตอนเที่ยง สว่างจ้าเลยครับ ทำให้ให้ความใสของน้ำทะเลสาบได้ชัด ที่ผิวน้ำไกลลิบแสงสะท้อนทะเลสาบระยิบระยับเบาๆ ลมพัดเอื่อยๆแต่ไม่ได้ช่วยให้ตัวเย็นขึ้นไปกว่านี้ ข้างริมน้ำมีจามรีทรงเครื่องยืนแช่ทำหน้าตาบูดบึ้ง เพราะถูกเจ้าของบังคับหักเขาให้ถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว ไอ่เบิ้มเข้าไปถ่ายก่อนคนแรก เพราะอยากมาหลายรอบแล้ว เลยจัดไปก่อนลดความอยากกระหาย เบิ้มได้จามรีสีขาวไปครอบครองครับ ผมถ่ายภาพมันแทบไม่ทันเลย มัวแต่พะรุงพะรังกับของอยู่ รู้งี้ทิ้งไว้กับพื้นตรงนั้นล่ะ ส่วนตาผมบ้าง ผมก็กระโดดขึ้นควบจามรีสีดำหน้าที่แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน แล้วมันก็ถูกบังคับให้เอาขาไปจุ่มน้ำให้ผมได้ถ่ายรูป จะว่าสงสารมันก็ใช่นะ แต่นานๆทีได้มีโอกาสขี่น้องจามรี ขอเก็บภาพหน่อยละกัน มองกล้องแทบไม่ทัน เพราะว่ามีกล้องเรียกหลายตัวเลยครับ หันซ้ายหันขวาทำพิธีสร้างภาพมันหลังจามรีเสร็จก็โดดลงมาดูเฮียธีร์ขึ้นไปถ่ายต่อครับ ไอ่เจ้าของจามรีมันให้พวกผมขึ้นประเดี๋ยวเดียวเองครับ จริงๆอยากนั่งแช่ให้นานกว่านี้อีกครับ ส่วนพี่เจก็เก็บของแกไปเรื่อย

ในช่วงที่พวกผมดื่มด่ำกับการถ่ายภาพก็มีพวกชาวจีนมายืนเกะกะในกล้องพวกผม พวกมันก็เห็นว่าพวกผมกำลังถ่ายรูปอยู่ อยู่ดีๆก็ามีป้าคนจีนวัยกลางคนหัวแดงๆมาทำท่าเอาผ้าเช็ดหน้าจุ่มน้ำแล้วโบกๆผ้าในน้ำทำตัวหน่อมแน้มให้ลูกสาวกับลูกชายชาวจีนได้ชื่นชมในบารมีความงามของแม่ แล้วป้าก็นั่งแช่อยู่นานมากจนผมทนไม่ได้ จึงจัดหนักรอบสอง(ของวัน) เดินไปบังหน้ากล้องมันซะเลยพร้อมกางร่มคันโต อยากถ่ายวิดีโอกันนัก งั้นต้องบังให้มิด ผมกับเบิ้มเดินเบียดบัง มันก็ยังทำงงไม่รู้  นี่ถ้าด่าภาษาจีนได้จะด่าแล้วครับ อยากจะพูดกับชาวจีนพวกนั้นว่า “มารยาทพวกคุณต่ำมากเลยครับ ผมเกลียดพวกคุณ” ได้แต่ด่าภาษาไทยเซ็งจังวุ้ย นี่ขนาดผมกลับมาจะสองสัปดาห์แล้วมานั่งเขียนใหม่ ยังโมโหไอ่พวกนี้ไม่หาย จะพรรณาความงามทะเลสาบกลับมาสาธยายความชั่วร้ายของชาวจีนแย่ๆพวกนี้ ฮ่วย…หงุดหงิดนิ

                หลังไกด์กลับไปพักพวกผมก็เดินเล่นถ่ายรูปนี่นั่นโน่นไปเรื่อย เดิน Kora รอบเขาไปหนึ่งรอบ ทำเอาพี่เจหอบแฮ่กเลย ผมน่ะไหวครับ สนุกเสียด้วย แต่ไม่อยากเดินเร็วไปกว่านี้อยากไปกันให้ครบครับ conceptทีมผมคือเที่ยวห้าคนกลับห้าคนครับ เลยซอยเท้าช้าๆครับ เส้นทางที่เดินรอบเขาจัดว่าไกลผมสมควร เพราะเดินกันชั่วโมงกว่าๆ ถ้าไม่นับว่าแดดแรงกระแทกตานะครับ จะดีมาก เพราะวิวสวย เดินชมเขาไป ชมทะเลสาบไป ถ่ายรูปเก๊กท่าไปเรื่อย สนุกออกครับ กว่าจะเดินครบรอบก็ถึงเวลากินข้าวเย็นพอดี  ตอนแรกว่าจะขึ้นเขาไปถ่ายรูปครับ แต่ไม่ทันแล้ว ไกด์นัดกินไว้เวลานี้นี่นา เลยต้องเลื่อนกิจกรรมขึ้นเขามาไว้หลังอาหาร

                มื้อเย็นนี้ก็มื้อสุดท้ายที่จะได้นั่งกินกับเทนสิน ไกด์ของผมครับ ผมชวนแกมานั่งด้วย แล้วนั่งโม้กัน สนุกสนานไม่น้อยครับบนโต๊ะอาหารมื้อนี้ นั่งหัวเราะเฮฮากัน ฟังเรื่องเล่า แง่มุม ความคิด ของคนทิเบตที่พยายามจะสื่อออกมา ผมไม่ได้ลงลึกเรื่องการเมืองอะไรของที่นี่ แค่ฟังไปเรื่อย อยากรู้ความรู้สึกของเค้ามากกว่าครับว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องทนอยู่สภาพนี้ แต่ถึงไม่ถามก็เหมือนรู้คำตอบว่า เค้าไม่ได้มีความสุขมากสักเท่าไรครับ เพราะอิสรภาพ สิทธิพลเมืองที่เค้ามีมันแหว่งเป็นส่วนๆ รอยยิ้มที่เห็นก็รอยยิ้มที่ทนได้ และปรับตัวได้ครับ ชื่นชมจริงๆครับ ผมเอาใจช่วยให้บ้านเมืองคุณกลับสู่สภาพปกติในเร็ววัน การจะเป็นอิสรภาพจากจีนคงเป็นไปได้ยาก ก็จีนกำลังกลืนกินทิเบตอยู่นิ อย่างน้อยก็ขอให้คนทิเบตได้รวมกลุ่มได้ตามปกติ เข้าวัดวา เดินเล่นในเมืองโดยไม่ต้องแสดงบัตรในบ้านเมืองของตัวเอง แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วครับ

                ผมจิบนมจามรีอุ่นๆเล็กน้อย(แย่งพีแป๊บกิน)ก่อนจะไปถ่ายรูปกันบนเขา ก่อนขึ้นเขาผมก็ไปดูทะเลสาบยามเย็นอีกครั้ง ไม่ทันพระอาทิตย์ตกอีกแล้ว เฮ้อ…ช่างมัน ไม่ใช่ผมมัวแต่กินนะ แต่กำลังคุยติดพันกับเทนสินเลยไม่อยากทำเสียบรรยากาศ ผมเลยถ่ายรูปเท่าที่ถ่ายได้ แล้วเดินกลับมาชวนพี่ๆขึ้นเขากันดีกว่า ใส่ชุดหนาวกันลมครอบหัวเตรียมตัวไปท้าลมกันบนเขา ก็จัดเต็มตั้งแต่เริ่มออกจากห้องพัก อากาศก็ไม่ได้ถึงขั้นสาหัส แต่เราถือconceptว่า เราไม่ใช่คนไม่ธรรมดากันอยู่ เลยออกมาทั้งชุดนั้นแล้วขึ้นเขาไปดูวิวทะเลสาบยามค่ำคืน วันนั้นจำได้ว่าเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชาของบ้านเรา เดินเอื่อยๆเรื่อยๆจนถึงยอดเขา ทางก็มือตึ๊ดตื๋อ ดีที่พกไฟฉายมานะ ไม่งั้นอาจจะสะดุดตกล้มบนเขานี่ล่ะ ที่บนยอดเขานั้นทัศนียภาพสวยงามมาก มีพระจันทร์มีดวงดาว และก้อนเมฆลอยละล่องไปตามลม หมุนตัวครบสามร้อยหกสิบองศาเห็นวิวได้ไกลและชัดมาก โชคดีครับที่มีแสงสว่างๆนวลๆจากดวงจันทร์มาช่วยทออาบไล้ไปทั่วทุ่งหญ้าสีเขียวที่ได้เห็นในตอนเช้าให้ขัดขึ้นมาบ้าง ส่วนสีทะเลสาบสีครามที่เข้มมืดลง ก็สะท้อนแสงเป็นระยะพอให้เห็นว่าผิวน้ำมีการเคลื่อนไหว ส่วนภูเขาหิมะก็ขาวเจิดจ้ารับแสงจากพระจันทร์ทำให้โดดเด่นแม้ว่าจะมองระยะไกลจากตรงนั้น สวยงามมากเลยครับ

                โชคดีครับที่ได้มาเก็บภาพสวยๆที่นี่แห่งนี้ ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ หลังอิ่มเอมกับความสวยงามของวิวทิวทัศน์ ก็หนีลงมากกันก่อนสามคน ล้างหน้า แปรงฟัน ปัสสาวะให้เรียบร้อย ก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงเอาตัวซุกเข้าผ้าห่มทันที อากาศหนาวเริ่มมาเยือนก่อนนอนแล้วครับ นอนดีกว่าครับ เพลียมากทั้งวันแล้วครับ คร่อกฟี้…

Day8(3/8/2555) : Namso Lake – Lhasa(Train station)

                อ้ากกกกก หนาวคร๊าบบบบบบบ สบายจัง ตื่นมายามเช้า เอาตัวซุกอยู่ในผ้าห่มหนาๆ ไม่มีงานมีการทำ ลืมทุกสิ่งที่เรียกว่าโรงพยาบาล บางครั้งอยากตื่นมาแล้วสะกดคำว่า โรงพยาบาล ไม่เป็นซะด้วยซ้ำ ฮ่าๆ ผมมีความสุขครับที่ได้มาเที่ยวแบบนี้ ทำให้ลืมงานที่มาสะกิดใจ แค่คิดว่าวันนึงจะกินอะไรให้รอด(ที่นี่) วันนึงจะไปไหน จะทำอะไรต่อ แล้วจบลงตรง ณ นั้น แล้วแอบดีใจเล็กน้อยที่เล่นเฟสบุคไม่ได้ เพราะว่าทำให้ผมไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปเปิดมัน ให้ไม่มีมันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตบ้างก็คงจะดี พลิกตัวมาทางซ้ายคู้ขาเข้าหาอกแล้วถูขาสองข้างถี่ๆสร้างความร้อนหน่อยๆ สักพักก็พลิกตัวมาอีกฝั่งนอนซุกตัวคุดคู้แบบนี้สบายจังฮู้ เอ…แล้วนี่มันกี่โมงแล้วหว่า ยังอยากนอนอยู่เลย ดีที่ไม่มีห้องอาบน้ำ เพราะไม่อยากอาบน้ำครับ ข้อดีของการไม่มีห้องน้ำคือ ทุกคนสามารถตื่นมาแล้วออกไปส่องดูบรรยากาศยามเช้าริมทะเลสาบได้โดยไม่เสียเวลาครับ

                แสงแดดเช้านี้ก็เหมือนๆทุกวัน ค่อยๆเงื้อมผ่านก้อนเมฆแวะมาโฉบใส่เขาเทือกนู้นบ้างเทือกนี้บ้าง เยือนพื้นน้ำบ้าง ลมทิเบตยามเช้าวันนี้พัดผืนน้ำของทะเลสาบกรอให้เป็นเกลียวระลอกคลื่นยกตัวขึ้นกระชากผืนน้ำเล็กน้อยให้สูงขึ้นจบด้วยการทอนกำลังลงให้คลื่นกระเพื่อมซัดเข้ามาหาฝั่ง คลื่นแล้วคลื่นเล่า ขณะที่ผมย่างก้าวเดินลงไปริมทะเลสาบใกล้มากขึ้น เสียงเจ๊าะแจ๊ะจอแจของคนยามเช้าก็ค่อยๆชัดขึ้นมา ฟังไม่ออกสักคำ พอได้บรรยากาศเหมือนนกกระจิบยามเช้าของบ้านเรา สูดหายใจเข้าลึกๆซึมซับบรรยากาศยามเช้าสบายๆแบบนี้ ฮ่า…ความสุขสบายใจมันเป็นเช่นนี้เอง ผมหยุดเดิน ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการยืนพักขาบ้าง พลางมองไปรอบๆ …ทะเลสาบนัมโซก็สวยไม่แพ้ยัมดรกนะเนี่ย อยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆจังครับนั่งพักเอนหลังไปเรื่อยๆ “…เต้ใกล้จะหมดเวลาแล้ว จะถึงเวลาที่เทนสินนัดแล้ว” เสียงใครนั่น เสียงไอเบิ้มนั่นเอง อารมณ์เหมือนได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกเลย ทำลายความสุขตรู มันดันปลุกผมจากความฝันซะนี่ ผมเลยต้องตื่นตัวจากบรรยากาศแล้วหันมาสดับฟังเสียงมันมากขึ้น นาฬิกาปลุกดังซ้ำ “จะแปดโมงแล้ว” ผมตอบ “เออ รู้แล้ว ขอถ่ายภาพต่ออีกหน่อย” อารมณ์เหมือนตบนาฬิกาปลุกให้เงียบ แล้วคลุกตัวในผืนผ้าบรรยากาศแห่งนี้อีกสักนิด ทำอู้โดยการชักกล้องออกมาแล้วยิงกระหน่ำไปทุกมุมทุกพื้นที่ที่มองเห็นว่าสวย ด้วยความที่เร่งรีบทำให้ต้องตื่นจากภวังค์อย่างจริงจังอยากกับตักเอาน้ำราดตัวซู่ๆๆเลย ผมก็กดแชะๆๆไปพลาง ตื่นเลยล่ะครับ จากนั้นผมก็บิดขี้เกียจด้วยท่าประหลาด เอี้ยวตะแคงตัว พลิกคอ อ้าปากหวอ กดแชะๆอีกห้าหกที แล้วรีบเก็บกล้องเดินกลับไปยัง ณ จุดนัดพบ ด้วยท่าทีที่มั่นใจว่าภาพนั้นสวยแน่ ปลอบประโลมชมตัวเองก่อนที่จะอวดผู้คนว่าไปถ่ายรูปมา รูปสวยมาก เนื่องด้วยคุณภาพกล้อง แค่กดภาพก็ออกมาสวยแล้ว

                ก่อนจะหันหลังให้กับทะเลสาบ ผมยังหันกลับไปมองอีกเล็กน้อย ก็ไม่ได้ผูกพันอะไรมากกับที่นี่ครับ แค่รู้สึกว่าผมคงไม่มีโอกาสจะได้มาเหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง และก็ยังไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายรึเปล่าที่จะได้มาเที่ยวทิเบต ต่อจากนั้นผมก็รีบก้าวเท้าขึ้นทางลาดกลับไปเก็บของขึ้นรถครับ เทนสินซึ่งตรงเวลามากยืนรอพวกผมอยู่แล้ว นับจำนวนคนครบข้าวของครบพวกผมก็โยนตัวกันขึ้นไปกลิ้งต่อกันบนรถ โบกมือลาทะเลสาบ แล้วไปหาอาหารเช้ากินกัน

                เมนูเช้านี้ได้น้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋มาเติมพลัง กินๆๆ อร่อยมากเลยครับ ทุกคนซดเกลี้ยงยกเว้นพี่เจ เนื่องจากกลัวปวดท้องปัสสาวะแล้วจะไม่มีที่ให้ปลดทุกข์ พี่เจเลยกินเหนียมอย่างสุดๆ น่าสงสารนิ หญิงเดี่ยวที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยหมู่ดาวฤกษ์ที่มีแสงออร่าในตัวเองอย่างพวกผม ก็ทั้งหล่อเหลาหน้าตาดีซะขนาดนี้นี่ครับ หุหุ ในการเดินทางกลับวันนี้ก็วิ่งแน่วกลับไปยังลาซาเลย มีแวะกลางทางเพื่อขับถ่ายกันเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งรถเข้าลาซา เตรียมร่ำลาเทนสินไกด์สุดเลิฟของพวกผมครับ วันนี้เทนสินดูเหนื่อยมากครับ ผมถามแก แกบอกว่านอนไม่หลับเพราะเตียงที่dormไม่ดี ทำเอาหน้าแก้มึนๆขมวดคิ้วตลอด ส่วนพวกผมก็หลับกันบนรถเกือบตลอดทาง ตื่นเอาอีกทีก็ถึงร้านที่จะต้องซื้อเสบียงอาหารก่อนจะเข้าไปยังสถานีรถไฟ ไกด์ผมได้วางแผนให้เสร็จสรรพ แกบอกว่าอาหารบนรถไฟไม่อร่อย แพงด้วยอีกต่างหาก ให้ซื้อไปเลย พวกผมก็เลยซื้อขนมไปเพิ่มด้วย มาม่าอีกคนละสองกระป๋อง ผมท่องเอาไว้ เราต้องรอดชีวิตบนรถไฟ สู้โว้ย

                มองต้นไม้รายทางที่ดูคุ้นตา เหมือนกับสวนทางที่เคยผ่านมาไม่นานนี้ เส้นทางกลับสนามบินไงล่ะครับ ซึ่งจะผ่านสถานีรถไฟด้วย หว้า…แย่จัง หมดเวลา ณ ที่แห่งนี้แล้วสินะครับ รู้สึกตัวได้ไม่ทันไรก็มายืนอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟขนาดใหญ่ ตึกทรงสี่เหลี่ยมสูงโปร่ง ตั้งตระหง่านอยู่กลางแดดจ้า มันเป็นสถานีที่ใหญ่มากๆ ภายนอกมีรั้วรอบขอบชิด เห็นทางเข้าแคบๆนิดเดียวไว้ตรวจคนก่อนเข้าไปในสนามบิน โดยเทนสินเป็นคนแรกที่มายื่นหน้ายื่นตัวออกมาจากรถ ลงมาโบกมือลาพวกผม ช่วยยกกระเป๋าขึ้นหลัง จับมือกันส่งท้าย รอยยิ้มแห่งมิตรภาพจากชาวทิเบตคนนี้ ยังไม่สุดๆอยากที่ผมอยากให้เป็น ผมไม่รู้ว่าเหนื่อยหรือมีทุกข์อื่นซ่อนเร้นอะไร แค่หวังว่าสักวันหนึ่งอย่างที่ผมได้พูดไปแล้วว่า สักวันคนทิเบตจะยิ้มได้ทั้งใบหน้าแววตาและรูปปาก รวมไปจนถึงสามารถส่งยิ้มออกมาได้จากข้างใน ส่วนพวกผมก็ยื่นมอบคำขอบคุณ เชิญชวนมาเที่ยวเมืองไทยบ้าง พร้อมทั้งส่งเงินค่าทิปแสดงความขอบคุณไกด์เล็กๆน้อยๆ ลาก่อนครับ เทนสิน ผมคงจะจดจำคุณไปอีกนานครับ คุณเป็นคนเก่งจริงๆ คุณเป็นคนมีความสามารถมากครับ มองโลกกว้างเสียด้วย เสียดายที่ประเทศจีนไม่ได้เปิดให้คนมีสิทธิเสรีภาพอะไรมากนัก หากผมมีโอกาสกลับมาที่นี่หรือครั้งหน้าใครอยากไปเที่ยว สามารถติดต่อมายังคุณเทนสินได้ครับ ผมจะช่วยติดต่อให้ครับ

                ล่ำลากันเสร็จพวกผมห้าคนก็หันหลังให้กับไกด์ของพวกผม แล้วเดินเข้าไปยังจุดตรวจก่อนเข้าสถานีรถไฟ แสดงตั๋วรถไฟ แล้วบอกว่าเป็นคนไทย เค้าก็ปล่อยให้เราเข้าไปแต่โดยดี ตรวจกระเป๋ากันสองสามรอบ โดนเก็บกระป๋องออกซิเจนกันไปหมด ยกเว้นพี่เจซุกไว้ตลอด ไม่รู้รอดมาได้ไง มานึกๆดูอีกทีคือจริงๆก็เกือบไม่รอดครับ เค้าพยายามจะตรวจ แล้วชี้ๆพูดภาษาจีน พวกผมก็ทำหน้างง รวมทั้งพี่เจทำหน้างงได้ที่มาก เค้าเลยไล่ๆออกมา ประมาณนั้นครับ พวกผมเข้าไปในสถานีก็ไปนั่งรอกันเลยครับ มาถึงก่อนตั้งสี่ห้าชั่วโมง เลยนั่งพัก เอนตัว เดินสำรวจสถานี ทำธุรกิจส่วนตัว ฆ่าเวลาไปเรื่อยๆครับ ณ ตอนนั้นทุกคนมีความรู้สึกว่ากำลังจะได้กลับประเทศไทยกันแล้ว ซึ่งในความจริงคือกำลังนั่งจะนั่งรถไฟไปลงซีหนิง (แล้วต่อเครื่องไปลงเฉิงตู เที่ยวเฉิงตูครึ่งเช้าแล้วต่อเครื่องกลับไทยช่วงบ่าย) ไหงทุกคนไม่รู้สึกว่าจะต้องไปต่อกันเลยวะเนี่ย ผมก็ด้วย อารมณ์นะตอนนั้นคือ การท่องเที่ยวสิ้นสุดลงแล้ว จะได้กลับแล้วนะ ทำนองนั้น

                พอถึงเวลาบ่ายสี่โมงยี่สิบประตูก็เปิดครับ เหล่าชาวจีน(อีกแล้ว) ก็ทุกลักทุเลยัดตัวเข้าไปในประตูที่กว้างพอสิบคนเดินเข้าพร้อมกัน แต่มันก็ไม่วายจะเบียด พวกผมก็นั่งกระดิกเท้ารออีกสักนิดให้พวกชาวจีนได้อพยพขึ้นรถไฟสมใจอยาก พวกผมก็ขนของตามเข้าไป พอผ่านประตูทางเข้าก็สอดส่ายสายตามองหาขบวนที่สิบเอ็ด อ้า ทางขวานั่นเอง เดินๆลากๆจนไปถึงทางเข้า ก็ต่อแถวตามมารยาทที่มีพกมาจากสยามประเทศ และแล้วชาวจีนสองผัวเมียมันก็มาแทรก(อีกแล้ว) ผมตอนนั้นพยายามจะเอาคืน แต่อยู่หลังพี่แป๊บเลยต้องสงบสติเอาไว้ หลังจากสงบอารมณ์ได้ไม่นาน พี่แป๊บก็ชิงยื่นบัตรตัดหน้ายืนเบียดหันหลังให้พวกนั้นทันที ผมทันเกมส์ประกบต่อไร้รอยช่องว่าง ส่วนอีกสามคนที่เหลือเบิ้มเฮียธีร์พี่เจ ก็ยืนประกบต่อไร้ช่องว่างอย่างพร้อมเพรียง อย่างกับส่งโทรจิตได้เลยล่ะครับ สะใจมากกับการพรากผัวเมียมารยาทแย่สองคนนี้ มันก็บ่นๆอะไรไม่รู้ภาษาจีน กรูไม่เข้าใจหรอกนะ ไม่ต้องมาเยอะใส่กรู ณ ตอนนั้นรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก ก็คนจีนอย่างพวกเมิงบอกว่า มีแค้นต้องชำระ! ไม่ใช่หรอ หึหึ(สะใจ!!!)

แล้วพวกผมก็เดินลัลล้าๆ ไปยังห้องนอนของผม บังเอิญว่าห้องผมมีคนแปลกหน้ามาอยู่หนึ่งคน เนื่องด้วยพวกผมจองไม่ทัน เลยมีติ่งจากไหนไม่รู้มาแทรกตัวอยู่หนึ่งคน(คือห้องมันจุสี่คนครับ บนสองล่างสอง คนแปลกหน้านั้นอยู่เตียงบน นั่นล่ะ เป็นความเสียเปรียบครับ) ส่วนผมกับเฮียธีร์ต้องอยู่อีกห้องกับชาวจีน พวกผมเตรียมตัวขอเตียงไว้แล้ว เลยพยายามสื่อสารให้ชายแปลกหน้าคนนั้นแลก ตอนแลกก็ไม่ยอมครับ เพราะเค้ามองไปห้องที่ผมอยู่แล้วทำหน้าแหยๆ สงสัยเค้าต้องเป็นคนทิเบตแน่เลย มันคงเกลียดคนจีนเข้าไส้อย่างผม พวกผมก็ทำหน้าตาอ้อนวอน ทำตาละห้อยสลับกับตาประกายวิ๊งๆ(แลกหน่อยนะคร๊าบบบบ) และใช้โปรแกรมแปลภาษาสื่อสารบอกเค้าว่า ขอเปลี่ยนเฉพาะตอนนอน อะไรทำนองนั้น ไม่รู้ว่าเค้าเข้าใจว่าไง เค้าก็พยักหน้า หยิบกระเป๋าออกไป ยอมไปอยู่อีกห้องอย่างโดยดี พวกผมรู้สึกขอบคุณมากเลยที่ช่วยย้ายไปให้ ดีใจจะได้มีห้องส่วนตั๊วส่วนตัว จะวางของจะกลิ้งเกลือกยังไงก็ไม่ต้องระมัดระวังน่ะครับ แต่ก็สงสารเค้านะครับที่ต้องไปอยู่ห้องเดียวกับชาวจีน แค่นึกก็วุ่นวายแล้ว >

                รถไฟที่ผมจองเป็นแบบ Soft-sleeper ครับ มันดีมากเลยล่ะ สะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นตกค้าง กลิ่นบุหรี่ก็ไม่มี เตียงกว้างยาวพอเหมาะ บรรยากาศริมหน้าต่างก็ดีประดับด้วยแจกันดอกไม้สีแดงสด เอนตัวลงนอนทดสอบความสบาย ฮ่า…สบายที่สุดในสามโลก ผมอยากนอนแล้วคร๊าบบบบบ พวกผมนั่งไร้สาระกันไปเรื่อยจนกระทั่งรถไฟออกจากสถานี ภาพบรรยากาศภายนอกก็ค่อยๆเริ่มไหลเข้ามาพร้อมๆกับความเร็วของรถไฟ วิวทิวทัศน์ที่คุ้นตาเริ่มกลับมา ก็มันผ่านเส้นทางที่ไปทะเลสาบนัมโซเหมือนกันนี่หว่า รถไฟวิ่งไปไมได้ไวมาก แต่รู้สึกว่าไวกว่ารถยนต์เยอะมาก เพราะตำแหน่งที่ผมนั่งผ่านนั้น จำได้ว่าเพิ่งนั่งรถผ่านมาเมื่อเช้าตอนกลับจากนัมโซสองชั่วโมงกว่าๆแน่ะ แต่รถไฟใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงเอง ก็แน่ะล่ะครับ…รถไฟเล่นเจาะตัดผ่านทะลวงภูเขาไปหลายลูกทำให้ประหยัดเวลาได้มากพอสมควร ผมชอบบรรยากาศบนรถไฟน่ะครับ น่ารัก สะดวกสบายจริงๆ ผมเดินสำรวจตู้ของผมเพื่อเตรียมพร้อม ทั้งอ่างล้างหน้า ห้องน้ำ ที่เติมน้ำร้อน โอ้ว สะอาดและครบครันจริงๆนะครับ

                กิจกรรมอย่างหนึ่งที่สนุกแล้วเรียกเสียงหัวเราะมากที่สุดของทริปนี้ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อผมขุดการละเล่นพื้นบ้านชาวแพทย์มอ.มาฆ่าเวลาเล่นๆ “โป้ง…ไอ้หยา” เสียงร้องไอ้หยามั่วๆดังลั่นตลอด กระตุกมือยกมือกันจ้าละหวั่นไปหมด โดยคนที่ครองแชมป์หน้าเอ๋อไอ้หยาตลอดเวลาที่สุดไม่พ้นใครไปได้นอกจากพี่เจ “อ่าว ตาพี่แล้วหรอ แล้วไงต่อ… อ่อ ไอ้หยา” คำงงๆพูดลอยออกมาจากหญิงไทยเดี่ยวที่กำลังชูแขนขึ้นสองข้างพลางทำหน้าเอ๋อเล็กน้อย ดีนะที่น้ำลายไม่ยืด เรียกว่าเกมส์นี้เรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี ส่วนพี่แป๊บก็ครองแชมป์เกือบตลอด ทำหน้างงเหมือนกันแต่ดันชนะ จะว่าไปกติกามันก็ไม่ยากนะ แต่มันต้องalertพอสมควรครับ คงไม่ต้องอธิบายวิธีเล่น เดี๋ยวจะนั่งเอ๋อกันไปตามๆกัน เอาเป็นว่าเสียงหัวเราะของพวกผมห้าคนที่นั่งล้อมกันในห้องเล็กๆในตอนนั้นยังติดตาผมอยู่ถึงตอนนี้เลยครับ และทำเอาลืมชายชาวทิเบตคนนั้นไปเลยครับ มาเช็คทีหลังสุดท้ายชายคนนั้นก็นั่งเล่นนอกห้อง และท้ายสุดเค้าก็ย้ายไปอีกห้องนึงซึ่งน่าจะสบาย(ใจ)กว่าครับ

                พอผมเล่นจนหมดแรง ก็นั่งชมวิวข้างทางทั้งซ้ายขวาครับ ถ้าเป็นขามาก็จะผ่านสถานีรถไฟที่สูงจากระดับน้ำทะเลที่สุดในโลกช่วงเช้าครับ ชื่อ สถานีถังกูลา! ความสูงตั้งห้าพันเมตรจากระดับน้ำทะเลเชียวนะครับ ปกติเค้าจะจอดให้ลงไปถ่ายรูป แต่ผมเดินทางขากลับอะครับ ผ่านสถานีในช่วงกลางคืนคงไม่จอดให้แน่ครับ เวลานั้นก็มืดเสียด้วยผมคงนอนแอ้งแม้งอยู่ไม่มีโอกาสเห็นแน่นอน เว้อ กับความเสียดายไปสักพัก พวกผมก็เริ่มนั่งพักจริงๆจัง ดูวิวไปเรื่อยๆครับ   แม้ว่าบรรยากาศทิวเขาของที่ทิเบตจะเห็นจนชินตา อาจจะไม่ถึงขึ้นตื่นตาตื่นใจมากเหมือนตอนมาถึงวันแรก แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องพูดว่า สวยจนชินตา เลยล่ะครับ ถ้าจะเปรียบว่าทัศนียภาพที่นี่เป็นคนล่ะก็ คำว่า เป๊ะมากกก ก็คงจะเป็นคำที่เหมาะสมมากเลยล่ะ ทำไมน่ะหรอครับ ก็ตลอดระยะทาง หรือการเดินทางทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรถไฟหรือรถยนต์ ไม่มีภูเขาลูกไหน เทือกเขาแนวไหน จะถูกระเบิดทำลายด้วยน้ำมือคน ทั้งยังมีความโดดเด่นสวยงามที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นแนวเขาเขียวขจีถูกปูด้วยปุยหญ้ากระจายกระจายไปทั่วทั้งเขา บางช่วงก็จะพบเจอเนินเขาสีน้ำตาลเขียว มีทั้งลูกโดดหรือไม่ก็ติดต่อกันเป็นทิวเขายาวเหยียด บางลูกก็มีรอยเซาะของร่องน้ำบรรจงแต่งทำให้เขาแต่ละลูกมีลาวลายสะดุดตา ถ้าโชคดีมองทันก็จะมีโอกาสเห็นภูเขาหิมะไข่มุกแทงยอดขึ้นบนฟ้าอันรายล้อมไปด้วยภูเขามรกต เนินเขาลูกถัดๆมาวางประดับลดหลั่นลงมาเหมือนถูกจัดเรียงอยู่รอบด้านคล้ายฐานของแหวนไข่มุกที่รายล้อมไปด้วยมรกตสีเขียวสด พอผมมองลงมาทางด้านล่างเล็กน้อยก็จะเจอทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลที่ทำหน้าที่ชูโรงไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าภูเขาเหล่านั้น บริเวณทุ่งหญ้าที่มีน้ำขังนิ่งๆก็จะมองเห็นยอดเขาเหล่าเมฆาลอยอยู่ในน้ำ บางช่วงที่เป็นท่งหญ้าโล่งก็จะเห็นเหล่านักแสดงท้องถิ่นอวดโฉมเผยวิถีชีวิตส่วนตัวให้เห็นกันจะๆ ทำให้ผมได้มีโอกาสเห็นภาพที่มีชีวิตหลุดผ่านสายตาเป็นระยะๆ อย่างเช่น ภาพจามรีเคี้ยวหญ้าแทนหมากฝรั่งพร้อมทั้งท่ามองมาทางรถไฟแบบไร้สติ หรือไม่ภาพลาน้อยเดินเล่นวนเวียนรอบเชือกพันธนการ แล้วแสดงความจงรักภักดีต่อตอไม้อย่างงง เพราะมันเดินวนจนเชือกสั้นหัวชิดลงำเคาะกับพื้น อย่างกับจะคารวะทำท่าอัษฎางคประดิษฐ์อย่างนั้นล่ะ

เมื่อได้เห็นภาพเบื้องล่างอันงดงาม ก็ไม่เผลอที่จะเหลือบมองภาพเบื้องบนอันน่าอัศจรรย์ ฟ้ายังฟ้าอยู่จริงๆ มองไปก็จินตนาการไป ผมรู้สึกเหมือนมีใครเอาสีฟ้าครามมาเทสาดขึ้นบนท้องฟ้าทิเบต แล้วไปเชิญเหล่าจิตรกรนักวาดระดับโลกมาประชันแข่งขันวาดก้อนเมฆประกวด อารมณ์ประมาณว่าใครวาดสวยกว่าคนนั้นชนะ ส่วนผมก็นั่งรถไฟไล่ดูรูป ตามกำแพงฟ้าครามนี้ไปเรื่อย “เอ นั่นรูปอะไรนะ เฮ้ย นั่นเรือใบ” ผมนั่งจินตนการไปพลางชี้บอกชาวบ้านไปเรื่อยๆว่าเห็นภาพนู้นภาพนี้ ตั้งแต่ออกจากทิเบตมาภูมิทัศน์ก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีฉีกแวกแนวหรือหักมุมแต่อย่างใด ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกลมกลืน คาดเดาไม่ได้ได้ และเป๊ะตลอดทุกท่วงท่า สวยมากครับ สวยจนคุณกาญนา หงส์ทองถึงขึ้นพรรณนาว่า “ในโลกนี้จะมีรถไฟกี่สายกันที่ปรนเปรอวิวระดับ AAA แบบนี้ให้เราได้นั่งไปนั่งมา …ชักไม่แน่ใจว่ารถไฟจะพาไปลาซาหรือสวรรค์กันแน่” ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเกิดแรงบันดาลใจจริงๆนะครับ อย่างบางช่วงที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันเว่อร์เกินไปรึเปล่า กับการบรรยายทัศนียภาพของเธอ แต่เมื่อผมได้มีโอกาสมาเห็นกับตาในวันนั้น คุณจะรู้เลยว่า อะไรคือคำว่า สวยอย่างน่าอัศจรรย์ และคุณกาญนาก็สามารถถ่ายทอดภาพของเธอออกมาผ่านตัวอักษรได้เฉียบคมอย่างน่าอัศจรรย์ ว่า “ผืนน้ำสีฟ้าในทะเลสาบที่ซุกตัวอยู่กลางเนินเขาสีน้ำตาล ตัดกับแผ่นฟ้าสีเข้มที่มีเมฆสีขาวขมุกขมัววางตัวเกะกะระฟ้า ไรแดดกับเปลวหมอกคลอเคลียกันบนเนินเขา บางช่วงดอกหญ้าแย้มอย่างเบิกบาน ถึงแม้จะมีเกร็ดน้ำแข็งประทับอยู่บนปลายใบ” โอ้วววว…แม่เจ้า อะไรจะบรรยายได้งดงามขนาดนี้ ผมประทับใจมากเลยล่ะครับ

                มื้อเย็นวันนี้ก็ไม่พ้นมาม่าครับ ซื้อมากันคนละสองกล่อง เริ่มประเดิมโดยพี่แป๊บก่อน พอหลายคนชิมแล้วเห็นว่าดีก็ลุยกินกันต่อ เทน้ำร้อนผิดฝา และนั่งลุ้นรอเส้นมาม่าสุก ผมรอเล็กน้อยก็เริ่มคลุกเริ่มกินครับ ชอบเส้นดิบๆหน่อย ซวบๆๆ อร่อยจัง ซวบบบบบบบบบบ น้ำร้อนๆ ฮ่า…อร่อยๆ กินอิ่มก็หยิบขนมหวานมาเคี้ยวต่อ นั่งชิลด์ นั่งโม้ นั่งดูรูป พลางดูวิว จนคุณพระอาทิตย์เริ่มอำลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับเทนสินอีกคน พวกผมก็ทยอยกันจัดการล้างหน้าแปรงฟันกันไป ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน ผมก็ขนเบาะรองหมอนผ้าห่มมานอนด้วย แล้วปิดตาอำลาทิเบตไปอีกคน ลาก่อนครับทิเบต เราคงได้พบกันอีก

>> to be continue >>

By Eun Junso : Tibetan story: Believing in BELIEF part IV

Tags:

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *