ความจริงทริปนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่เราจะตัดสินใจไป Raja Ampat อีกนะ สืบเนื่องมาจากฤดูแล้งทริปเมื่อปลายปีที่แล้ว จากการโหมงานหนักจนทิ้งทริปไปหลายทริป ก็เลยไม่กล้าที่จะจองทริปล่วงหน้า จนมาถึงจุดที่ร่างกายไม่ไหวแล้ว ไม่งั้นประสาทแดกแน่นอน ก็เลยเปิดหน้าตักรับจอยทริปทั่วราชอาณาจักร จนมีพี่น้อง Intania Runner ชวนไปทริป Rinjani ที่ฟอร์มทีมกันบางส่วนและจองตั๋วเครื่องบินช่วงโปรไปกันหมดแล้ว ตัดสินใจไม่นานก็จัดแจงจองตั๋วเครื่องบิน เป็นอันจบข่าว ที่เหลือก็ฟิตร่างกายรอเวลาเดินทาง
แผนการเที่ยว
26 Jul - Bangkok -> Denpasar (AirAsia)
| Night at Kuta
27 Jul - Day Trip (Nusa Penida)
| Denpasar -> Lombok (Garuda)
| Night at Rudy Trekker
28 Jul - Trekking Day #1
| Sembalun Village (1,156m) -> Crater Rim (2,639m)
| Night at Sembalun Crater Rim
29 Jul - Trekking Day #2
| Crater Rim <-> Rinjani Summit (3,726m)
| Crater Rim -> Lake Segara Anak (2,000m)
| Lake -> Senaru Crater Rim (2,641m)
| Night at Senaru Crater Rim
30 Jul - Trekking Day #3
| Crater Rim <-> Senaru Village (601m)
| Night at Senggigi
31 Jul - Lombok -> Kuala Lampur -> Bangkok (AirAsia)
| Night at Home Sweet Home
แผนที่วางไว้ใช้เวลาทั้งหมด 6 วัน แวะบาหลี เที่ยวเกาะ 1 วัน แล้วบินไปลอมบอกเดินป่า 3 วัน เหลืออีก 2 วันใช้สำหรับเดินทาง ซึ่งใครที่เคยไปอินโดก็จะพอรู้อยู่ว่า การเดินทางไปเที่ยวแต่ละที่โคตรเสียเวลา และส่วนใหญ่จะเป็นทริปอดนอน โรงแรมมีไว้ให้อาบน้ำและซุกหัว และต้องตื่นก่อน 6 โมงเช้าในทุกทริปไป 555
สมาชิกตอนที่เราเข้าไปจอยช่วงกลางเดือน Jan 2018 มีอยู่ 14 คน ก็เกี่ยวคนรอบตัวเรื่อยๆจนถึงตอนไปจริง สรุปจบที่ 21 คน ถือเป็นทริปเทรคกิ้งที่คนเยอะที่สุดตั้งแต่ไปมาล่ะ
แต่ยังโชคดีที่ส่วนใหญ่เป็นพวกนักวิ่งกันทั้งนั้น ก็พอรู้เคมีของแต่ละคนอยู่ บ้าระห่ำและพร้อมลุยกันสุดๆ
สมาชิก ~ Ong Wasini Patarada Karn Chumphon Teerapat Sophon Anuwat Pleng Pavadee Bank Prima Tipwadee Phawan Sarochinee Pitchayapan Samaphong Ponlawat Soyrawee Theeradej Kriangkrai
เดินทาง
เนื่องจากซื้อตั๋วทีหลัง ก็เลยบินตรงคนเดียวไปเลย หลังๆพออายุมากขึ้น ก็ยอมจ่ายเงินแลกความสบายล่ะ บินตรงไปบาหลีเหงาๆคนเดียว ถึงสนามบินตั้งแต่ 5 โมงเย็น รอกรุ๊ปหลักมาถึงประมาณทุ่มนึง ถามราคา Taxi ที่สนามบิน โดนฟันหัวแบะ IDR 250k ต่อคันนั่งได้ 4 คน ก็เลยลองติดต่อไปที่โรงแรมให้เค้าเอารถมารับ รอไปรอมาทีมดึกก็มากันพอดี สรุปครบทีมนั่ง Coach ไปโรงแรมด้วยกัน 18 คน กว่าจะถึงโรงแรมก็ปาไป 4 ทุ่มล่ะ สรุปค่ารถแค่ IDR 250k ทั้งคัน รวม 18 คน!! รอดชีวิตจากการฟันหัวแบะมาหนึ่งเปราะ เดินหาอาหารกินรอบดึกก่อนแยกย้ายกันไปนอน พร้อมตื่นแต่เช้าตรู่ไปเที่ยวเกาะกัน
ข้ามเกาะ
แพลนวันนี้จะเป็น Day Trip เที่ยวเกาะ Nusa Penida จริงๆเราเคยไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ไปดำน้ำดู Mola Mola ที่ Crystal Bay รอบนี้มาเที่ยวบนดินกันบ้าง
เที่ยวเกาะรอบนี้ก็ต้องใช้แต้มบุญเยอะอยู่ เพราะเมื่อวานไกด์เพิ่งส่งมาบอกว่า คลื่นสูงมากกกก เรือถูกสั่งห้ามออกมา 2 วันแล้ว อาจจะข้ามเกาะไม่ได้ ทุกคนนี่ลุ้นกันเยี่ยวเล็ดมาก เพราะถ้าไม่ได้ข้ามเกาะก็คือเที่ยวเมือง เที่ยววัด ซึ่งไม่มีใครเตรียมเสื้อผ้าสำหรับเที่ยวเมืองเลยสักคน ฮ่าๆ รวมถึงข้าพเจ้าเคยมาบาหลี 2 ครั้งแล้ว ก็จะเที่ยวทะลุปรุโปร่งอยู่หน่อยๆ
แต่โชคก็เข้าข้างเรา เดินทางไปถึงท่าเรือ คลื่นไม่แรงมาก ไกด์ส่งสัญญาณ OK!! ไปได้!!
เย้ !! หยอดตู้แต้มบุญไปหนึ่งกำมือ!
วันนี้เรือออกช้ากว่าทุกวันเพราะต้องรอคลื่นเบา และต้องกลับเร็วกว่าทุกวันก่อนที่คลื่นจะกลับมาแรง ทำให้เวลาสำหรับเที่ยวในเกาะ ลดลงไปอีก สรุปได้ไปเที่ยวแค่ 3 ที่ Kelingking / Angel’s Billabong / Broken Beach
แล้วก็รีบกินข้าวเที่ยง รีบนั่งเรือกลับมา ไปเอาของโรงแรมแล้วก็ไปสนามบินกันต่อ
เตรียมเข้าป่า
แลนดิ้งที่ Lombok ประมาณ 4 ทุ่ม ออกมาจากสนามบินก็เจอป้ายไวนิลเล่นใหญ่ของทีม Rudy Trekker รอรับอยู่ ยังพูดเล่นๆอยู่ว่า เล่นใหญ่ขนาดนี้ ถ้าขึ้นไม่ถึงยอด คงต้องอับอายมากๆ
นั่งรถต่อไปยาวๆอีก 3 ชม. เพื่อไปที่พักของเราคืนนี้ ก็หลับไปยาวๆฮะ
ถึงที่พักประมาณตี 1 พวกเรายืนยันที่จะ Brief กันคืนนี้เลย เพื่อจัดทีมกัน
สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นนักวิ่งมือฉมัง ผ่านสนาม 100K+ มาทั้งนั้น ส่วนเราเป็นนักวิ่งท้ายแถวที่ร้างรางานวิ่งมานาน แล้วก็มีกลุ่มนักไต่เขามือใหม่มาด้วย ก็เลยตกลงที่จะแบ่งเป็น 2 กรุ๊ปใหญ่ๆ กลุ่มเดินชิล กับกลุ่มวิ่งชิล ฮ่าๆ
รินจานี (Rinjani)
ภูเขาไฟรินจานี ตั้งอยู่ค่อนไปทางทิศเหนือของเกาะลอมบอก ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่อยู่ถัดจากเกาะบาหลีไปทางด้านขวา สูงประมาณ 3,726m ถือเป็นภูเขาไฟที่สูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศอินโดนีเซีย
ภูเขาไฟรินจานี เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ (Active Volcano) ยังมีการปะทุอยู่เป็นระยะๆ ปะทุครั้งล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2015
เข้าป่าวันแรก
ทริปนี้เรามากัน 21 คน ทาง Rudy จัดลูกหาบไว้ 21 คนสำหรับแบกของกินของใช้สำหรับทริป 3 วัน 2 คืน รวมถึงลูกหาบที่เราจ้างเพิ่มอีก 5 คนสำหรับแบ่งเบาน้ำหนักตอนที่เราต้องเดินไต่เขากัน แล้วก็มีไกด์คอยติดตามเราทั้งหมด 6 คน รวมจำนวนคนที่จะต้องเดินทางมุ่งสู่ Rinjani สำหรับกรุ๊ปเราอย่างเดียวประมาณ 53 คนเห็นจะได้ เป็นจำนวนที่เยอะที่สุดเท่าที่เคยเดินป่ามาเลย
คือเค้าต้องแบกไปทุกอย่างจริงๆทั้งอาหารและน้ำดื่มสำหรับ 3 วัน (น้ำแร่เปิดขวดใหม่ทั้งหมด ไม่ได้เติมน้ำจากลำธารเหมือนบางกรุ๊ป) รวมถึงเต้นท์ ถุงนอน หมอน แผ่นรองนอน โต๊ะ เก้าอี้ ถังแก๊ส เตาแก๊ส คือทุกอย่างจริงๆ แม้ว่าเดินขึ้นไปลำบาก แต่กินอยู่เยี่ยงราชาแบบขั้นสุด
ตื่นเช้าตรู่ กินอาหารเช้า แล้วก็นั่งรถ 45 นาทีไปจุดเริ่มที่หมู่บ้าน Sembalun Village เช็คอินกับอุทยานเรียบร้อยก็เริ่มเดินกันจริงจัง จากจุดเริ่มเราจะผ่านจุดพักระหว่างทั้งหมด 4 จุด ต้องไต่ระดับความสูง 1,500m บนระยะทางทั้งหมด 10Km ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย
Sembalun Village -> POS1 -> POS2 -> POS3 -> POS4 -> Sembalun Crater Rim
ทางเดินขึ้นแรกๆจะเป็นทุ่งหญ้า Steppe ไต่ขึ้นไปอีกหน่อยจะเป็นทุ่ง Savanna ขึ้นไปอีกหน่อยก็จะเป็นป่าสน ทางเดินมีตั้งแต่ดินแน่น ดินอ่อน หินภูเขาไฟ หินลอย มีทุกอย่างจริงๆ ตอนแรกเข้าใจว่าหินภูเขาไฟลื่นๆไหลๆ จะมีแค่ตอนที่เดินขึ้นยอด แต่มันไม่ใช่!! แม่งมีตลอดทางเลย เดินยากชิบ! แม้ระยะจะบอกว่า 10Km แต่ถ้ารวมระยะไหลแล้ว มีถึง 12Km อ่ะ
ถือว่าโหดมากนะสำหรับมือใหม่ แต่ก็ต้องยอมรับความกล้าและความใจเด็ดของมือใหม่ในทีมด้วย นายแน่มากจริงๆ นับถือ
ในที่สุดเราก็ทำได้ตามเป้า คือถึง Crater Rim ก่อนพระอาทิตย์ตก พักผ่อนอากาศชิลๆ ถ่ายรูปจนพระอาทิตย์ลับฟ้า แล้วอากาศก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว ต้องรีบเข้าไปอาบน้ำด้วยทิชชู่เปียกอย่างรวดเร็วจะได้เปลี่ยนเป็นชุดพร้อมลุยหนาว
เรากินข้าวเย็นกันบนปากปล่องภูเขาไฟ กินเสร็จถ่ายรูปท่ามกลางแสงดาวและแสงจันทร์เต็มดวงที่สาดแสงส่องสะท้อนกลุ่มเมฆที่ปกคลุมอยู่เบื้องล่าง มันช่างงดงามดั่งสรวงสวรรค์จริงๆ
ถ่ายรูปท้าหนาวพอเป็นพิธี แล้วตัดสินใจไปนอนพักผ่อน เพื่อเตรียมรับศึกหนักในวันรุ่งขึ้น
เข้าป่าวันที่สอง
ตื่นตี 2 กินขนมปังอบไข่ชีส กับช็อกโกแล็ตร้อน แล้วก็ออกเดินทางตอน 2:30 กรุ๊ปเราออกเดินทางกันช้ากว่ากรุ๊ปอื่น ไม่แน่ใจว่าเค้าเห็นว่าเราเดินเร็วกันหรือเปล่า หรือว่าอยากให้ขึ้นไปช้าหน่อยคนอื่นจะได้ลงกันหมดแล้ว และได้มีเวลาชิลนั่งกินชากาแฟกันข้างบน
แผนวันนี้เราต้องเดินทางไกลทั้งวัน ไต่ความสูงสะสมขึ้นเขา 1,700m และลงเขาอีก 1,700m หนักกว่าวันแรก 2 เท่า
Crater Rim -> Rinjani Summit -> Crater Rim -> Lake -> Senaru Crater Rim
ผมเดินทางไปกับเวฟแรกตอน 2:30 ด้วยความตั้งใจว่าจะไปถึงยอดให้ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้นตอน 5:45 นั่นคือมีเวลาประมาณ 3:15 ชม กับระยะ 4Km ประมาณ 50min/Km ก็น่าจะพอเป็นไปได้อยู่
แต่หลังจากเดินไปได้สักนิดหน่อย ก็เริ่มรู้ตัวว่าไม่น่าจะทัน เพราะทางมันเชี่ยมากกกกก ชัน ลื่น ไหล ฝุ่นตลบ เข้าใจแล้วว่าเดิน 2 ก้าว ไหลลง 1 ก้าวมันเป็นยังไง พอได้ขึ้นไปบนสันเขาทางเรียบขึ้นก็พอโอเค ทำเวลาได้หน่อย แต่เดินไปอีกนิดมันเริ่มชันขึ้นเป็น exponential ก้าวหนืดลงเรื่อยๆ และด้วยความสูงตอนนั้นประมาณ 3,500m+ ระดับออกซิเจนในอากาศเหลือแค่ 13% เท่านั้น ก้าวได้ประมาณ 4-5 ก้าวก็ต้องหยุดพักหายใจ หลายๆคนเรียกเนินตรงนี้ว่าเนินซอมบี้ เพราะคนที่เดินขึ้นไปจะเดินเหมือนซอมบี้มาก ฮ่าๆ
และขณะที่ผมไต่เขาที่ความสูง 3,547.40 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลบนทางชัน 45 องศาอยู่นั้น ผมก็รู้สึกถึงความสั่นไหวของพื้นดินบริเวณนั้น.. แล้วทุกอย่างรอบข้างผมมันก็ไม่เหมือนเดิม..
แผ่นดินไหว
29 July 2018 เวลา 06:47:38 GMT+8 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ตามมาตราริกเตอร์ นอกชายฝั่งเกาะลอมบอก แรงสั่นสะเทือนกระทบมาถึงภูเขาไฟรินจานีที่พวกผมกำลังเดินขึ้นยอดเขากันอยู่
ช่วงเวลาที่เกิดแผ่นดินไหว ทีมของพวกเรากระจัดกระจายออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่
- ทีมขาแรงที่ขึ้นถึงยอดเรียบร้อยแล้ว (10 คน – เอก อ๋อง อ๊อม เอี่ยม พี่หนึ่ง ยุ่น สร้อย[1,2] หงส์ โบ๊ท กอรี่)
- ทีมที่กระจัดกระจายอยู่บริเวณเนินซอมบี้ไต่เขา 45 องศา (5 คน – พี่แพร น้ากานต์ พงศ์ จอย ธี)
- ทีมปิดท้ายซึ่งกำลังจะเข้าสู่โซนเนินซอมบี้ (6 คน – พี่โอ๊ค พี่เพลง แช่ม เมียม เหมี่ยน พริม)
*** กด Link ที่ชื่อเพื่ออ่านเรื่องราวของแต่ละคน
ผมอยู่ทีมที่ 2 เดินแยกออกมาจากคนอื่น มีลูกหาบคอยดูแล 1 คน ชื่อ Adi ที่จะแบกชาและกาแฟไปให้ทานกันบนยอดเขา Adi เดินมากับผมตลอดทางตั้งแต่ 100 เมตรแรกจาก Camp ผลัดกันนำผลัดกันตามตลอดทาง ช่วงไหนที่ผมเดินช้า Adi ก็จะเดินดุ่มๆล่วงหน้าไป แล้วไปแอบงีบตามกำแพงดิน คืองีบแบบจริงจัง ผมก็เดินไปเรื่อยๆตามคนอื่น คือคิดว่าโดนทิ้งแล้ว พยายามเร่งฝีก้าวเผื่อจะได้ตาม Adi ทัน แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเสื้อลายพรางสีฟ้าของเค้าเลย ผมถอดใจแล้วก็เดินเนิบไปเรื่อยๆ ไม่นานก็มีคนมาแตะไหล่จากด้านหลัง ผมหันไปร้อง Hey! ดังมาก ยูนำกูไปตั้งนาน ไหงมาตามหลังกุได้ฟร่ะ บอกตรงๆตอนนั้นประหลาดใจมาก Adi บอกว่าแอบไปงีบมาเมื่อกี้ แล้วก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกประมาณ 2-3 รอบ จนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ฮ่าๆ
เดินไปเรื่อยๆ จนฟ้าเริ่มสว่าง จนเหลือระยะที่จะต้องคลานขึ้นยอดเขาอีกแค่ 200m น้ำที่เตรียมไว้เริ่มหมด เลยหลบทางคนอื่นมานั่งริมหน้าผาฝั่งตรงข้ามปากปล่อง แล้วขอ Adi เติมน้ำ Adi เดินเข้ามาปลด backpack แล้วหนีบไว้ระหว่างขา (ไม่หนีบก็กลิ้งแน่นอนเพราะตรงนั้นทางลาดเอียงขั้นขีดสุด) เติมน้ำเสร็จ ระหว่างที่ Adi กำลังเก็บขวดน้ำยัดใส่กระเป๋า ผมก็กำลังคล้อง Trekking Poles และพยุงตัวยืนขึ้น ก็รู้สึกมึนๆหัว และเซลงมานั่งที่เดิม รู้สึกอยู่แป๊บนึงไม่ถึงวินาที ผมเงยหน้ามอง Adi แล้วหลังจากนั้นอีกประมาณ 2 วินาที ภูเขาทั้งลูกก็สั่นชุดใหญ่ หินกลิ้งที่อยู่รอบตัวก็ถูกเขย่าและกลิ้งลงไปในทุกทิศทางที่สามารถไหลลงไปได้ รวมถึงหน้าผาที่ผมนั่งอยู่ขอบทางด้วย ภูเขารอบข้างเต็มไปด้วยฝุ่นฟุ้งจากการสั่นสะเทือนและดินถล่ม ทางที่เราเดินผ่านมาก็มีฝุ่นคลุ้งแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
Adi เซล้มลงและสไลด์ตัวไหลลงไปตามทางที่เดินขึ้นมา ห่างจากผมประมาณ 10m แล้วก็หันกลับมาบอกผมให้ขยับเข้ามาตรงกลาง ภาพตอนนั้นเหมือนในหนังมาก ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งมองไปรอบๆ ได้ยินแต่เสียงดังกึกก้องกังวาลอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น เสียงลั่นครืนเหมือนตอนที่เราไปยืนที่ปากปล่องโบรโม่เมื่อปีที่แล้วมากๆ ในใจตอนนั้นก็คิดแต่ว่าเอาอีกแล้วมึง แผ่นดินไหวอีกแล้วใช่มั้ย แล้วทำไมต้องมาไหววันนี้ตอนที่กูกำลังปีนขึ้นยอดอยู่วะ แล้วภูเขาไฟมันจะระเบิดหรือเปล่า แล้วถ้าระเบิดมันจะระเบิดจากข้างบนแล้วไหลลงมาตามทางเดินมั้ย หรือมันจะระเบิดตรงปล่องเบบี้รินจานีข้างล่างวะ แล้วมันจะพ่นหินมาถึงข้างบนเปล่า ตอนนี้ในหัวคิดไปไกลมาก แต่ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า อะไรจะเกิดก็เกิดไป แต่กูจะตายตรงนี้ไม่ได้!!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แต่เวลาเหมือนจะผ่านไปช้าสุดๆ
พอทุกอย่างหยุดนิ่ง Adi ก็หันกลับมาหาผมแล้วบอกให้ลงข้างล่าง.. เดี๋ยวนี้ !!
หนีตาย
ผมและคนแถวนั้นก็นั่งไถก้นลงมาเรื่อยๆ ผมเห็นไกด์และลูกหาบพยายามชโงกไปดู Baby Rinjani ด้านล่างเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีลาวาหรือหินร้อนพุ่งออกมาจากปล่อง ซึ่งมันก็ยังดูนิ่งเงียบน่ารัก มีควันขาวๆเทาๆปกคลุมปะปนกับฝุ่นจนเริ่มไม่แน่ใจว่าที่เห็นเป็นฝุ่นหรือควันจากปล่อง
ไม่นานก็เริ่มมีไกด์ข้างบนหิ้วปีกคนที่วิ่งไม่ไหววิ่งลงมาผ่านผม หลังจากนั้นผมก็ยืนขึ้นแล้วก็วิ่งสไลด์หินลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมกองทัพผู้พิชิตจากบนยอดเขาที่เริ่มวิ่งลงมาจนฝุ่นคลุ้งทั้งสันเขา
ผมวิ่งลงมาเรื่อยๆสภาพโดยรอบแปลกตาไปจากขาขึ้นมาก วิ่งไปเรื่อยๆจนถึงทางขาด ที่ก่อนหน้ากว้างประมาณ 5m ตอนนี้เหลือกว้างไม่ถึงฟุต ทุกคนต้องเบี่ยงเดินผ่านทางลาดชัน ข้างๆระยะประมาณ 10m แล้วในขณะที่ผมกำลังเดินเบี่ยงตรงทางลาดเอียงนั้น ก็เกิด After Shock รอบแรกขึ้นมา หินที่อยู่ในพื้นที่ลาดเอียงนั้น ก็ค่อยๆกลิ้งหล่นไปเรื่อยๆ ผมย่อตัวลงใช้เท้ายึดกับพุ่มไม้เล็กๆเพื่อไม่ให้ตัวไหลลงไปมากกว่านี้ พร้อมกับปัก Trekking Poles ไว้เพิ่มความมั่นคง
ระหว่างที่พื้นกำลังสั่นสะเทือนอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงคนหนึ่งในอ้อมกอดของเพื่อนที่กำลังย่อตัวอยู่บนทางเบี่ยงถัดลงไปอีกแถว ผมยังจำแววตาหวาดกลัวของเค้าได้ติดตา ผมรวบ Poles รวมไว้ที่มือหนึ่ง แล้วหันไปหาเค้า ยื่นมือออกไปข้างหนึ่งให้เค้าจับ แม้มันจะเกินระยะเอื้อมถึงก็ตามที แต่อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เค้าอุ่นใจได้บ้าง ว่าเค้าจะยังมีที่ยึดไว้หากดินมันไหลลงไปข้างล่าง
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมก็ไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ และอะไรดลใจให้ผมเลือกที่จะทำเช่นนั้น
After Shock ครั้งแรกนั้น สั่นไม่ถึง 5 วินาที แต่ผมรู้สึกว่ามันช่างเนิ่นนานเหลือเกิน
ทุกคนวิ่งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยด้วย Adrenaline ที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย แม้ขาจะเจ็บและนิ้วเท้าระบมจากฝุ่นภูเขาไฟที่เข้าไปอัดอยู่ข้างในรองเท้า แต่ก็วิ่งไปจนถึง Camping Area ที่ปากปล่องภูเขาไฟได้อย่างปลอดภัยทุกคน
และช่วงเวลาที่มีคุณค่าที่สุดของผมสำหรับทริปนี้ คือการที่ได้เห็นพวกเราทั้ง 21 คนรวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าที่ Camping Area โดยที่ทุกคนปลอดภัย และไม่มีใครบาดเจ็บอะไรร้ายแรง
สู่พื้นที่ปลอดภัย
ไกด์บอกพวกเราว่าอาจจะมี After Shock รุนแรงตอน 14:00 ให้ทุกคนรีบเดินทางลงจากเขาโดยใช้เส้นทางเดียวกับที่เราเดินขึ้นมา กระเป๋าของทุกคนปลอดภัย ลูกหาบแบกลงไปล่วงหน้าแล้ว
พวกเราจัดแจงถอดเสื้อผ้ากันหนาวออกให้เหลือน้อยชิ้นที่สุด พร้อมเผชิญอากาศร้อนระหว่างทางเดินลง น้องกอรี่ผ่าเมล่อนและแตงโมให้ทุกคนรองท้องกัน เพราะยังไม่ได้กินอะไรกันหลังจากมื้อแรกตอน 2:30
บริเวณนั้นยังพอมีสัญญาณ edge พี่โอ๊คถ่ายภาพรวมและให้น้องที่ไทยไล่โทรแจ้ง Emergency Contact ของทุกคนเพื่อแจ้งว่าทุกคนปลอดภัย และรีบเดินทางลงจากเขาทันที
ระหว่างทางก็มี After Shock เป็นระยะๆ มีหน้าผาหินถล่มบางจุดทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่เรื่อยๆ ในที่สุดทุกคนก็เดินทางลงมาสู่จุดเริ่มต้นอย่างปลอดภัยและพร้อมเพรียงกันตอน 13:30 ก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย
Rudy Trekker ส่งรถมารับพวกเราเพื่อไปส่งที่โรงแรมที่เราพักคืนก่อนเริ่มเดิน ระหว่างทางเราได้เห็นสภาพความเสียหาย ตึกรามบ้านช่องพังตลอดทาง พวกเราไปถึงโรงแรมเพื่อรู้ว่าโรงแรมก็ได้รับความเสียหายเหมือนกัน ไม่มีใครกล้าอยู่ในตึก เพราะไม่รู้ว่าแผ่นดินจะไหวอีกเมื่อไร และไม่รู้ว่าตึกจะถล่มตอนไหน
พวกเรานั่งอยู่กลางที่โล่ง เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะคลุกฝุ่น ไม่มีน้ำใช้ สภาพเป็นผู้ประสบภัยพิบัติโดยแท้ ทาง Rudy Trekker ก็ดูแลพวกเราดีมาก หาผ้าขนหนูเย็น น้ำอัดลม น้ำเย็น ให้เราได้เช็ดทำความสะอาดร่างกายเบื้องต้น และให้พนักงานต้มมาม่าใส่ผักให้เราได้กินรองท้อง ระหว่างที่รอรถมารับพวกเราไปส่งยังพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว 100Km+
สวัสดีเซงกิกิ (Senggigi)
พวกเราเดินทางมาถึงฝั่งตะวันตกสุดของเกาะลอมบอก เป็นเมืองที่เราจะต้องมานอนพักหลังจากลงจากเขาวันพรุ่งนี้ แต่วันนี้เราได้มาชิลเร็วขึ้นกว่าเดิม 1 วัน แผนทุกอย่างก็จะปรับเปลี่ยนกันหน่อย
29 Jul - Trekking Day #2
| Crater Rim -> Rinjani Summit (3,726m)
-----------------------EARTHQUAKE-----------------------
| Rinjani Almost Summit -> Crater Rim
| Crater Rim -> Sembalun Village (1,156m)
| Night at Senggigi
30 Jul - Evacuated Day #1
| Full Day Chill at Senggigi
| Night at Senggigi
31 Jul - Lombok -> Kuala Lampur -> Bangkok (AirAsia)
| Night at Home Sweet Home
มาถึงที่พักด้วยสภาพเน่าขีดสุด แต่สิ่งแรกที่เราทำคือ แดกข้าวววว!! อาหารหนักมื้อแรกของเราหลังจากฝ่าฟันอะไรมามากมายไม่รู้ตลอดวัน
ก็ถึงเวลาที่เราได้อยู่นิ่งๆทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดวันนี้ มันเป็นวันที่ยาวนานมากกกกกกกก
และมันก็เป็นวันที่ได้รู้ว่าความเป็นความตายมันเป็นแค่เส้นบางๆกั้น ถ้าเราอยู่ผิดที่ผิดเวลาในตอนนั้น เราก็คงไม่ได้กลับมาเล่ามาเขียนมหากาพย์ยาวเฟื้อยได้ขนาดนี้
เราควรใช้ชีวิตอยากรู้คุณค่า และทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับว่าพรุ่งนี้จะไม่มีเรา อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
เส้นทาง / ความสูง / เวลา / หัวใจ
ทริปนี้ตั้งใจใช้ Garmin FR225 เก็บระยะขึ้นลงเพื่อเก็บข้อมูลระยะและหัวใจตลอดเส้นทาง แต่คืนแรกด้วยอากาศหนาวหรืออย่างไรไม่ทราบ ตื่นเช้ามานาฬิกาที่ชาร์จไว้ตลอดคืนถูก Drain จนแบตเกือบหมด ทำให้ตอนเช้าที่เดินขึ้นยอดแล้วเกิดแผ่นดินไหว วิ่งลงมาถึง Campsite ปุ๊บ แบตก็หมดปั๊บ.. เป็นอันจบข่าว
ขาขึ้นไปยัง Sembalun Crater Rim : https://www.strava.com/activities/1735983865
ขาขึ้นยอดรินจานี ตอนเกิดแผ่นดินไหว และขาลงกลับมายังแคมป์ : https://www.strava.com/activities/1735984805
มาดูเทียบกันว่าเดอะแกงค์แต่ละคนวิ่งขึ้นวิ่งลงเขากันอย่างไรในช่วงที่เกิดแผ่นดินไหว : https://bit.ly/2Pt2wxP
ค่าใช้จ่าย
ถ้าเทียบราคากับคนอื่นๆที่ไปปีนรินจานีด้วยกัน ทริปของเราจะราคาสูงกว่าเกือบเท่าตัว เพราะทริปนี้ตั้งใจไปลุยกันให้สุด และก็ขอพักผ่อนชิลๆกันให้สุดเยี่ยงราชา จึงเลือก Rudy Trekker ทัวร์รีวิวระดับท็อปโหวตของรินจานีเทรค และก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย จัดการเป็นระบบระเบียบ ดูแลดีเยี่ยม แม้ในภาวะภัยพิบัติ ไม่ทิ้งลูกทัวร์ แถมเผื่อแผ่ช่วยเหลือคนอื่นๆ จนตัวเองต้องบาดเจ็บไปด้วย
นอกจากค่าเทรคแล้วยังมี Day Trip ที่ราคาออกจะสูงหน่อย เพราะต้องนั่งเรือข้ามเกาะ แล้วก็มีค่าเครื่องบินที่จะราคาสูงกว่าคนอื่นๆเพราะเพิ่งตามมาซื้อทีหลัง
บทสรุป
หลังจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ ทางการก็ประกาศปิดรินจานีอย่างไม่มีกำหนด ระหว่างทางที่เดินกลับก็เห็นว่าเสียหายไปเยอะอยู่ ไม่รู้ว่าฟื้นฟูกลับมาได้แค่ไหน คงต้องใช้เวลาปรับเส้นทางให้มั่นคงสักระยะ ก็หวังว่าเธอจะกลับมาเข้มแข็งได้ในเร็ววัน เราคนหนึ่งล่ะที่พร้อมจะกลับไปเจอหน้าเธออีกครั้ง และจะไปพิชิตยอดเขานั้นให้ได้ แล้วก็จะไม่ลืมไปเซย์ฮัลโหล Baby Rinjani (Mt. Barujari) ในระยะใกล้ด้วย
หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง
ธีรเดช ณ รินจานี 16 สิงหาคม 2561 02:37