กว่าจะเติบโตมาเส้นทางคอมพิวเตอร์สายนี้ ย่อมผ่านอะไรมามากมาย มีสุข มีทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง..
จับคอมพิวเตอร์ครั้งแรก..
หลังจากเราย้ายจากนครศรีธรรมราช เข้ามาที่กรุงเทพ ความศิวิไลซ์ก็ค่อยๆเข้ามาในชีวิตทีละน้อยๆ ตอนมาใหม่ๆก็ไม่ได้สนใจเจ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รูปทรงสี่เหลี่ยม 2 กล่องนี้เท่าไหร่ เพราะมันดูสูงส่งยากเกินเอื้อมถึง ก็ได้แค่มองดูอยู่ห่างๆ สมัยนั้นเห็นอะไรแปลกตา หวือหวาก็กลัวทั้งนั้นล่ะ กลัวไปจับแล้วมันเจ๊ง ต้องเสียเงินเสียทองมากมาย.. ทางออกง่ายๆคือไม่ไปยุ่งดีที่สุด..
แต่ด้วยพรหมลิขิตหรือเปล่าไม่ทราบ ตอน ป.3 เราก็ได้จับคอมพิวเตอร์ครั้งแรก แต่เป็นเครื่อง Apple Macintosh จอเขียว ที่ keyboard อยู่ติดกับ Monitor ก็เอาไว้ฝึกพิมพ์ดีดไปเรื่อยๆ แค่ช่วงเวลาตอนพักกลางวัน ตอนนั้นก็รู้สึกว่าตื่นเต้นมากมาย เหมือนได้สัมผัสอุปกรณ์ไฮเทคที่สุดในชีวิต..ฮ่าๆ.. วันไหนที่หัวหน้าห้องคนนี้ว่างจากธุระที่อาจารย์มอบหมายให้ เมื่อได้ยินเสียงออดพักกลางก็จะรีบวิ่งไปต่อคิวหน้าห้องคอมพ์ทันที.. เพื่อจะได้รีบเข้าไปครอบครองเครื่อง IBM PC ส่วนใครที่เป็นจุดอ่อนก็จะได้นั่งเครื่อง Apple ไป ><" เครื่อง PC สมัยนั้นก็ยังคงเป็นรุ่น intel 386,486 ความเร็วประมาณ 16MHz มีปุ่ม Turbo ให้กดก็จะเร่งได้ประมาณ 32MHz ละมั้ง.. Ram ก็ประมาณ 512 KB.. OS ก็จะเป็น DOS 6 บางเครื่องไฮโซหน่อยก็จะมี Windows 3.11 ติดตั้งไว้ด้วย.. ซึ่งไอ่ตัวแสบ windows 3.11 นี้ล่ะที่เป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวต่างๆที่ทำให้เราต้องคลุกคลีกับคอมพิวเตอร์มาจนถึงทุกวันนี้..
ลองผิดลองถูก
สมัยก่อนเวลาจะ Boot เครื่องแต่ละทียุ่งยากเหลือเกิน.. ต้องใช้แผ่น Floppy Disk ซึ่งตอนนั้นมีแต่ขนาด 5.25" ความจุประมาณ 360KB ใส่ใน drive A ก่อน แล้วก็บิดตัวขับลง จากนั้นเปิดเครื่อง.. เครื่องจะทำการตรวจสอบความเรียบร้อย จากนั้นจึงอ่านแผ่น ขณะอ่านจะมีไฟติด และมิสก็จะกำชับไว้ทุกครั้งว่า "ถ้าไฟติดอยู่ห้ามเอาแผ่นออกเด็ดขาด เครื่องจะพัง" ครั้งหนึ่งเราพลาดแล้วมิสเห็นพอดีแล้วมาตีเรา.. นั่นยิ่งทำให้เรากลัวไอ่เจ้ากล่องนี้มากเข้าไปใหญ่
โปรแกรมส่วนใหญ่ที่ศึกษาในช่วงเวลานั้นก็คือ CU Writer ของอาจารย์สมชายภาคเรานี่เอง.. DOS, Lotus 1-2-3, WordStar, Basic, Pascal แล้วก็ Logo มั้ง.. นอกเหนือจากนี้ก็เป็นเกมส์ซะส่วนใหญ่ (เป็นหัวหน้าห้องมันเครียดต้องปลดปล่อยสักหน่อย) เช่น Prince of Persia, Xenon, Keen, เกมขับรถชื่อไรจำไม่ได้แระ เกมส์เหล่านี้โด่งดังและสนุกมากในสมัยนั้น..
ตอน ป.4 มีวิชาคอมพิวเตอร์อยู่ในหลักสูตรด้วย(ไฮโซป่ะล่ะ) และมีมิสคนใหม่เข้ามาสอนคอมพ์พอดี ใจดีด้วยล่ะ.. ในคาบเรียนเราก็ตั้งใจเรียนมาก เวลามิสบอกให้ทำอะไร ก็ทำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว บางทีก็ชอบทำอะไรไปก่อนล่วงหน้าระหว่างที่มิสกำลังอธิบายคนอื่น เข้านู้นเข้านี่ จิ้มไปจิ้มมา.. เฮื๊อก!! ซวยละ มันเข้าหน้าจออะไรก็ไม่รู้ขาวทั้งจอเลย (คนอื่นอยู่ใน DOS ยังจอดำอยู่) แถมมีอะไรเป็นกรอบๆเต็มไปหมด.. สักพักมีอะไรแหลมๆเหมือนลูกศรขาวโผล่มากลางจอ บางทีก็เปลี่ยนเป็นนาฬิกาทราย.. เฮ้ย.. ซวยละตรู.. มันมีรูปอะไรก็ไม่รู้โผล่มาในกรอบอีกแล้วแถมมีตัวหนังสือกำกับอยู่ใต้รูปด้วย.. ตอนนั้นตกใจกลัวมาก เพราะทำไรก็ไม่ได้เลย ปกติโปรแกรมทั่วไปกด Alt-X จะออกโปรแกรม แต่นี่กดอะไรก็ไม่ออก เด็กชายธีรเดชที่คิดว่าตัวเองเก่งคอมพ์เหลือเกิน ณ เวลานั้นก็เป็นแค่ลูกนกตัวน้อยๆที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องร้องหาอาหารจากแม่ หรือไม่ก็กลายเป็นอาหารของบรรดาเหยี่ยว.. หัวใจของเราเต้นตึกตักๆ รอการฆาตรกรรม (ยังติดภาพมิสสุดโหดคนเก่า) สักพักมิสเดินเข้ามา มากดออกโปรแกรมให้ แล้วก็สอนต่อไป ไอ่เราก็เสียวสันหลังวาบ.. พอท้ายคาบก็เดินไปถามว่ามันคือโปรแกรมอะไร ใช้งานยากจัง.. ก็ได้รู้ว่ามันคือ Windows 3.11 ต้องใช้ mouse ด้วยแต่ตอนนั้นไม่ได้ต่อไว้ ต้องใช้ shortcut ซึ่งคืออะไรเราก็จำไม่ได้แล้ว.. และมิสก็ได้พูดประโยคเด็ดออกมาประโยคหนึ่ง "เราไม่ต้องกลัวมันหรอก จิ้มๆไปเลย กดๆไปเลย มันไม่เจ๊งง่ายๆหรอก ถ้าเจ๊งก็ซ่อมใหม่ได้ ลงโปรแกรมใหม่ได้" ได้ยินอย่างนั้นเหมือนนางฟ้ามาโปรดเลย แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นประโยคธรรมดา แต่สำหรับเราตอนนั้น ที่มีความกลัวปกคลุมทั่วจิตใจ ก็ได้ค่อยๆทุเลาและมองในอีกมุม ทำไมเราต้องกลัวมัน.. แต่ก่อนจะกดแต่ละปุ่มคิดแล้วคิดอีก ยิ่งถ้ามีอะไรฟ้องขึ้นมานี่ เหงื่อตกเลยทีเดียว..กลัวมันเจ๊งประมาณว่า ราคาอันแพงมหาศาลของมันอยู่เหนือความอยากรู้อยากเห็นและความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ แต่ตอนนี้.. คำพูดของมิสได้ทลายกำแพงความกลัวของเราเสียแล้ว.. ว่าแล้วก็เข้า windows อีกรอบแล้วจิ้มเล่นซะเมามัน.. จนได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างทีเดียว.. มิสคงเห็นแววเข้าให้เลยถามเราว่าอยากเรียนรู้คอมพ์เพิ่มเติมหรือเปล่า.. ถ้าอยากก็ให้มาโรงเรียนเช้าๆหน่อย แล้วมาหามิสที่ห้องคอมพ์ เค้าจะสอนให้.. โอ้ว.. ขอบคุณมิสมากๆคับ.. แล้วก็ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นมากมาย.. NDD (Norton Disk Diagnosis) ได้เล่นอะไรเกี่ยวกับระบบเยอะขึ้น ทั้ง Format FDISK และอื่นๆ.. ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นคำสั่งอันตรายมากสำหรับเด็กวัยนั้น 55 ทำให้เรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เรียนรู้ก่อนคนอื่น 🙂
ฝึกปรือวิทยายุทธ
หลังจากวันนั้นเราก็ได้ศึกษาคอมพิวเตอร์อย่างเข้มข้น ราวกับว่าเป็นแขนเป็นขาของเราทีเดียว.. หาซื้อหนังสือมาอ่าน.. เดินไปตามห้างเจอคอมพ์เปิดอยู่ก็ไปจิ้มเล่น เข้านู้น เข้านี่ จนคนขายไล่.. ตอนนั้นราคามันก็ยังแพงอยู่ดีล่ะ 40000-50000 ได้มั้ง.. และไม่ได้คาดหวังว่าเราจะได้เป็นเจ้าของมันหรอก.. แต่เราก็ไม่ลดละ.. เราคลั่งไคล้จนถึงกับเอากระดาษแข็งมาประดิษฐ์เป็นคอมพิวเตอร์ มีจอ มี case มี Floppy Disk และมี Keyboard ที่ใช้กระดาษมาต่อๆกันแล้วใช้ปากกาวาดเป็นปุ่มตามของจริง แล้วก็นั่งเล่นไปเรื่อยๆ จำลองสถานการณ์เหมือนเกิดขึ้นจริงๆ นี่คงเป็นของเล่นในวัยเด็กของเรามั้ง.. วันๆก็นั่งเอา Keyboard กระดาษของเรามานั่งจิ้มเล่น ฝึกพิมพ์สัมผัส.. จะว่าไปแล้วตอนนี้ยังอยู่เลยมั้ง Keyboard อันนั้น.. นึกถึงแล้วรู้สึกขำปนสมเพชตัวเองจังเลย.. แต่ก็นะเด็กมันอยู่ในช่วงเรียนรู้ มันก็ต้องมีความฝันบ้างล่ะ.. 🙂
ระหว่างนั้นมิสก็ส่งเราเข้าโครงการติวคอมพ์ของ Robinson ไปเข้า camp 3 วันเรียนรู้คอมพ์ ก็ไม่ค่อยได้อะไร แต่ก็สนุกดี.. ไปนั่งเล่นๆหน้าคอมพ์วาดรูประบายสี ประมาณโปรแกรมเพื่อการเรียนรู้อ่ะ
ในเมื่อเรายังไม่มีคอมพ์เป็นของตัวเองเราก็ติดสอยห้อยตามพี่ของเราไปที่ ECC (คือว่าพี่เราเคยไปเรียนแล้วสามารถไปใช้คอมพ์นอกเวลาได้อ่ะ) ก็ไปเล่นเกมส์ตามประสาเด็ก.. แต่ไม่นานก็เบื่อ ก็เลยเริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรม ก็เริ่มด้วยภาษา Basic ที่มีจุดเด่นตรง GOTO เหอะๆ ตอนนี้กลายเป็นจุดด้อยไปเสียแล้ว.. ก็ลองเล่นลองเขียน แค่เขียน Hello World โต้ตอบได้ก็ดีใจจะแย่แล้วว…
ความฝันของเด็กตัวน้อย
ตอนนั้น ป.6 ดูเหมือนพี่เราจะเห็นแววรุ่งมั้ง ก็บอกเราว่า มันมีแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ และมีสายคอมพิวเตอร์น่าจะลองดู.. หลังจากนั้นเด็กชายธีรเดชก็ค้นหาข้อมูลใหญ่.. จนได้ทราบมาว่าเค้าใช้ภาษา Pascal ในการแข่งขัน.. ภาษา Basic ที่เราศึกษามาคงใช้ในสนามแข่งไม่ได้เป็นแน่.. ดังนั้นเราต้องรีบวางแผนเสียแต่เนิ่นๆ.. เราก็เลยกลับลำเปลี่ยนไปศึกษาภาษา Pascal อย่างแข็งขัน เริ่มหาหนังสือ Data Structure, Algorithm ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักที่ใช้ในการในการสอบแข่งขันมาอ่านประกอบไปด้วย.. และได้สมัครสมาชิกหนังสือ Computer Times (รู้จักกันป่าวว) ซึ่งมันมี section การเขียนโปรแกรมอยู่ด้วย.. น่าสนใจดี.. สมัครไปไม่นานก็เพิ่งรู้ว่าบริษัทกำลังร่อแร่ๆ แต่สุดท้ายก็ทนพิษเศรษฐกิจไม่ไหว เจ๊งหลังจากหมดสมาชิกไปไม่นาน.. น่าเสียดาย..
ตอนนั้นก็ได้แต่ฝันว่าสักวันเราต้องไปยืนที่จุดนั้นให้ได้ เราต้องเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันระดับโลกให้ได้ และเราจะคว้าเหรียญรางวัลกลับมา และนำไปถวายในหลวง.. แม้ว่าจะดูเป็นฝันที่เลื่อนลอย.. แต่เราก็มีสิทธิ์ฝันไม่ใช่หรือ?.. แล้วคอยดูก็แล้วกัน..
เมื่อความฝันอยู่ไกลเกินเอื้อม
ตอนเข้า ม.ต้น รร.เราไม่ได้สนับสนุนเรื่องโอลิมปิกเลย.. แม้แต่สมัครสอบก็ไม่มี.. ก็เลยเริ่มหมดหวัง.. ก็ไม่รู้จะทำยังไง.. ก็รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมด้วยล่ะ.. แต่ต่อมาตอน ม.ปลาย พอเข้าไปแล้วเห็นอาจารย์สนับสนุนเต็มที่.. ก็เลยอัดเต็มสตรีมเลย.. แต่เหมือนสวรรค์ไม่เป็นใจ.. ภาษาหลักที่เค้าใช้สอบดันเปลี่ยนเป็นภาษา C ณ ปีนั้นเอง.. Pascal ที่เราซุ่มศึกษามานานก็ต้องพับไป แล้วไปเริ่มศึกษาภาษา C ใหม่ เราทุ่มเทอย่างเต็มที่ เข้าติวทุกครั้ง.. แต่ก็รู้สึกว่าหัวของเราคิดช้ากว่าคนอื่น เข้าใจช้ากว่าคนอื่น.. บางทีก็เริ่มท้อ.. บางทีก็คิดว่าความฝันอาจจะอยู่ไกลไป ไกลเกินกว่าเราจะเอื้อมถึง.. แต่ก็ได้กำลังใจจากอาจารย์และพี่ๆ.. ทำให้เรามีแรงสู้เพื่อความฝันต่อไป.. แต่สุดท้ายเราก็ทำได้ดีที่สุดแค่.. ตกรอบแรก
เราหมดแรงไปทันที แต่เราก็ไม่ล้มเลิกจะลองดูอีกสักตั้ง.. พอดีมีโครงการ สอวน เปิดตัวมาพอดี เอาว่ะ.. เราไม่สามารถสอบผ่านรอบแรกเข้าไปตรงๆได้ งั้นเรายอมเดินอ้อมเพื่อเข้าไปสอบรอบสองเลยก็ได้ว่ะ.. เราก็รีบสมัครเข้าเป็นรุ่นแรกเลย.. ผ่านค่าย1 เข้าค่าย2 ผ่านเข้าไปสอบรอบสองได้ดั่งใจหวัง.. รอบนี้เป็นการเขียนโปรแกรมแก้ปัญหาตามโจทย์ที่กำหนด.. กลายเป็นว่าเราพลาดไปอย่างง่ายๆ เราเข้าใจความหมายคำว่า median ผิดไปได้อย่างไร (เราเข้าในว่าเป็น mode).. แล้วทำไมเราถึงไม่ยกมือถามกรรมการคุมสอบ.. ตอนนั้นมีหลายความคิดในหัวมากมาย.. ก็ได้แต่โทษตัวเองว่า ทำไมเราไม่ยกมือถามๆๆๆ คำถามมันไม่ผิดกติกาด้วยซ้ำ.. ทำไมเราไม่ลองยกมือล่ะ ถ้าไม่ได้ก็อีกเรื่อง นี่เล่นเดาเอาเอง.. ตอนนั้นรู้สึก depressed มาก
และสิ่งที่ทำให้เราจิตตกเข้าไปใหญ่ และโกรธตัวเองมากก็คือ.. รอบ 2 นี้เค้ารับ 25 คน.. และผลที่ออกมาเราได้ลำดับที่ 25 แต่ลำดับที่ 25 มี 4 คน.. ที่ประชุมเค้าจึงตัดสินใจ.. ตัด 4 คนนี้ทิ้งซะ.. ให้มันได้ยังงี้สิ.. หนึ่งในนั้นก็คือ แหวน ด้วยล่ะ.. เราก็เลยรู้สึกหมดศรัทธากับระบบในทันที.. เจ็บใจและหมดแรงที่จะสู้ต่อไป..
ปีถัดมาเราก็เข้า สอวน อีกแต่ก็ไม่ได้หวังอะไรแล้วล่ะ.. แม้ว่าเราจะสอบเข้ารอบสองได้เป็นอันดับ 1 ก็เถอะ.. เราแค่ต้องการเข้าไปซึมซับบรรยากาศค่ายเท่านั้นล่ะ.. ไปรู้จักเพื่อนๆน้องๆต่างโรงเรียน.. ใช้ชีวิตร่วมกันในหอใน.. มันเป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ.. สุดท้ายเราก็สอบไม่ผ่านรอบสอง.. แต่ก็ไม่เป็นไร.. หลังจากนั้นเราก็หลุดวงโคจรของโอลิมปิกทันที.. และออกมายืนดูห่างๆในฐานะคนเคยฝัน
สนามสอบแห่งชีวิต..
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่เราล้มเลิกความฝัน..นั่นคือ.. อนาคตที่มั่นคงของเรา.. เราเลือกที่จะปิดฉากความฝัน และหันมาตั้งใจอ่านหนังสือ เพื่อพร้อมเข้าสู่สนามสอบเอ็นทรานซ์ และแน่นอนว่าอันดับ 1 ที่เราเลือกคือ วิศวะคอมพ์จุฬาฯ.. พูดตามตรงว่าเราชอบชีวะมาก.. ได้ 4 มาตลอด แต่ไม่ชอบสายงานด้านนี้ ก็คือแพทย์หน่ะแหละ ส่วนเคมีและฟิสิกส์มีเกรด 2,3 ประปราย.. แต่เราเลือกที่จะไม่สมัครสอบชีวะ เพราะเกรงคะแนนที่ออกมานั้นอาจทำให้จิตใจเราเขวได้.. แต่สุดท้ายคะแนนเราก็ไม่ถึง พลาดไปแค่ 3 คะแนน.. นั่นยิ่งตอกย้ำเราว่า เราเหมาะสมที่จะอยู่ในสายงานคอมพ์จริงหรือ??.. แต่ก็ไม่รู้ล่ะ.. สุดท้ายปีสองเราก็ได้เข้าภาคคอมพ์ตามเจตนารมณ์แต่ต้น..
รางวัลแด่คนช่างฝัน
ด้วยชีวิตที่ค่อนข้างขัดสนด้านเงิน และเข็ดกับการขอทุนแล้วไม่มีใครเหลียวแล.. จึงตั้งใจจะหาเงินใช้เองโดยไม่ไปแบมือขอใคร.. จึงเป็นที่มาของการล่ารางวัลในการประกวดต่างๆ รางวัลที่เราภูมิที่สุดคงเป็น DTAC & Nokia iAwards ได้ชนะเลิศเพราะเป็นรางวัลแรกและเป็นรางวัลที่ใหญ่มากมาย.. รางวัลต่อมาเป็นรางวัล TAM Awards ได้ที่ 3.. และตอนปี 4 ได้จาก SAMART Innovation Awards ได้ที่ 2 สุดท้ายก็ภูมิใจมากอีกเช่นกันคือ NSC 2007 ได้ชนะเลิศหมวด Mobile.. เงินรางวัลที่ได้มาทั้งหมด ไม่ได้ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอะไร ก็เก็บไว้เป็นทุนนี่หล่ะ.. อย่าง Notebook เครื่องนี้เราก็ถอนทุนคืนหมดแล้วนะ.. ตอนนี้ก็เก็บไว้ซื้อบ้านล่ะ.. คิดย้อนกลับไปในอดีตก็รู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตมหา'ลัยได้คุ้มค่ามาก.. และจะไม่นึกเสียดายเวลาที่เสียไปเลย จนถึงตอนนี้ก็รู้สึกภูมิใจกับตัวเองมาก ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนช่วยผลักดันให้คนที่เคยหมดหวังคนนี้ประสบความสำเร็จได้.. และยืนอยู่ได้ในสังคมโดยไม่อายใคร..
ชีวิตที่เหลืออยู่
ตอนใกล้จบนี่ก็รู้สึกสับสนมากเลย.. รู้สึกไม่ชอบคอมพ์ขึ้นมาทันที และไม่อยากทำงานด้านนี้ต่อไปแล้ว.. มันเป็นภาวะกดดันในขณะเรียนที่รู้สึกว่าทำไม่เราเข้าใจอะไรยากจังเลย ทั้งๆที่เราเคยมีพื้นฐานจากในค่ายโอลิมปิกมาก่อน.. มันเรื้อรังมาจนถึงปี 4 ช่วงสมัครงานนี่พยายามหางานที่ไม่เกี่ยวกับคอมพ์.. ซึ่งเราก็ไม่เก่งอะไรเลยนะ.. ไม่เอาคอมพ์ก็ไม่รุ้จะเอาอะไร.. จนแล้วจนรอดสุดท้ายก็มาทำงานด้านสายคอมพ์จนได้.. เป็น Developer ด้วย.. และเราก็ได้รับคำตอบว่าทำไมตอนเรียนมหาลัยถึงได้กดดันขนาดนั้น.. ในห้องเรียนเราเรียนแต่ทฤษฎีไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ระบบงานจริงๆเค้าเอามาใช้งานยังไง ประยุกต์ยังไง.. แต่พอได้ลองทำงาน ได้อยู่ในสภาวะแวดล้อมจริง.. ก็เริ่มเรียนรู้และจับเอาสิ่งที่ได้เรียนในมหาลัยมาปรับใช้.. แล้วมันก็ทำให้เห็นภาพรวมของระบบงานจริงๆ.. จนถึงตอนนี้ทำงานมาเกือบ 6 เดือนแล้ว.. ก็รู้สึกกลับมาชอบคอมพ์อีกครั้ง.. และรู้สึกว่าการเขียน code มันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์จริงๆ.. เริ่มกลับมาสนุกกับสิ่งที่ได้ทำ และสนุกกับการแก้ปัญหาอีกครั้ง.. และทำให้ชีวิตนี้ดูสดใสขึ้นอีกครั้ง!!
และนี่ก็คือเส้นทางชีวิตของ Programmer คนนี้ กว่าจะมายืนตรงจุดนี้ได้ ต้องผ่านอะไรต่างๆมามากมาย ชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลง.. มีล้มบ้างเป็นบางครั้ง แต่สุดท้ายก็สามารถลุกขึ้นยืนได้.. และพร้อมก้าวเดินต่อไป ในโลกที่มีปัญหาให้ครุ่นคิดอยู่เสมอ.. จงดำเนินชีวิตด้วยสติ.. อย่าให้อารมณ์มาบังคับเรา..
อ่านแล้วก็เจ๋งดีวะ แต่เราได้เรียนรู้คอมตอนม.4 อะ (ช้าไปหน่อย) จำได้ว่า windows อันแรกสุดที่รู้จักก็ windows 95 (เหมือนคุ้นๆ ว่าตอน ม. 1 ก็ได้จับ windows 3.11 นะ เล่นแต่โปรแกรมฝึกพิมพ์ดีด) แล้วโปรแกรมแรกสุดที่ได้รู้จักก็ Visual Basic 5 (เขียนโปรแกรมตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักคอมเลย) แล้วเราก็โดนจับไปแข่งนัน้แข่งนี่โดยตลอด (เก่งคอมที่สุดในชั้นว่างั้นเถอะ) ก็ได้ตังค์มาเยอะเหมือนกันนะ ที่ 1 มันได้ตั้ง 2500 บาท สมัยนั้นเยอะจัด แล้วเราก็เนี่ยแหละ เอาตังค์ไปเที่ยวเล่นเลี้ยงข้าวเพื่อนจนหมด (ได้มาก็หลายทีอยู่) จนสุดท้ายเหมือนตัวเองเบื่อแข่งแล้วละมั้ง ปุ๊กก็บอกเราว่า คราวนี้ไม่ชนะแน่ๆ (เขาบอกว่า ถ้าโน้ตอ่านหนังสือคอมก่อนไปแข่ง ไม่เคยเห็นโน้ตชนะเลย เพราะทุกครั้งโน้ตจะไม่อ่านแล้วแข่งเลย) นั่นแหละ จุดจบทางด้านการแข่งขันคอมสมัยมัธยม ซึ่งมันก็ม. 6 แล้วด้วย ไม่มีเวลามาเล่นๆแล้วน่ะ วันๆอยู่กับ ข้อสอบเอนเก่า ย้อนหลัง10 ปี หลายเล่ม (ก็แหม เรามันเรียนโรงเรียนบ้านนอกอะ แต่อยากเ้ข้าจุฬา เอาหน้าเอาตาให้พ่อแม่ ค่าย สอวน. ก็ไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายก็มาจบอย่างทุกวันนี้แหละ อ๋อๆ คอมตัวแรกในชีวิตคือ Pentium II 350 MHz Ram 32MB HDD 4G Windows 95 + Internet 56K รวม 55k บาท ล่ะ ทุกวันนี้ยังอยู่เลย (แต่อยู่ในกรุนะ) เป็นเครื่องแรกที่ทำให้รู้จักกับคำว่า website และ Visual Basic แบบถึงแก่นจริงๆ ต้องขอบคุณ พ่อแม่ที่ยอมทุ่มทุนซื้อมาให้ ทั้งๆที่ก็เอามาเล่นเกม 80% VB + Website 20% เอง
เราคือหนึ่งในผู้เข้าร่วมค่ายกับนายตอนนั้นนะ 555ถึงเราจะไม่ค่อยได้สนิทกันแต่ตอนนั้นเรานับถือนายมากในฐานะคนได้ที่1ของค่าย อารมว่าผมอันดับท้ายๆอ่ะ