Autobiography

     สิ่งที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นอัตชีวประวัติของ นายธีรเดช หงส์พิสุทธิกุล เขียนเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2550 เวลา 03.19 น. โดยเป็นส่วนหนึ่งของรายงาน Creative Journal รายวิชา Exploring Creativity ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

     กระผมชื่อนายธีรเดช หงส์พิสุทธิกุล หรือเรียกชื่อเล่นว่า ธี เกิดเมื่อวันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2527 ที่โรงพยาบาลนครคริสเตียน จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยน้ำหนักตัวแรกเกิดประมาณ 4.1 กิโลกรัม ซึ่งหนักกว่าเด็กคนอื่นๆทั่วไป ด้วยน้ำหนักที่มากนี้ทำให้ตอนเด็กๆ ร่างกายของผมจึงมีขนาดใหญ่ และอ้วนท้วนสมบูรณ์มาก ผมเป็นลูกคนสุดท้องและเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน มีพี่สาวทั้งหมด 3 คน พี่สาวทั้งสามคนมีอายุไล่เลี่ยกันห่างกัน 2 และ 3 ปีตามลำดับ ส่วนผมมีอายุห่างจากคนที่ 3 ประมาณ 5 ปี เนื่องจากครอบครัวผมมีเชื้อสายจีนอยู่ด้วย ผมจึงมีชื่อภาษาจีนคือ 洪益祥 ภาษาแต้จิ๋ว อ่านว่า อั้งเอี๊ยะเซี้ยง ส่วนจีนกลาง อ่านว่า หงอี้เสียง แปลว่า ศิริมงคลที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก

     ผมเริ่มเรียนชั้นอนุบาลตอนอายุประมาณ 3 ขวบ ที่โรงเรียนอนุบาลพิชญรัตน์ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ได้ซนเต็มที่ และในช่วงปีใหม่รวมไปถึงวันเด็กก็จะมีการแสดงของเด็กๆ ผมก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนออกไปเต้นเพลงบางระจันสมัยก่อน จำได้ว่าต้องใส่เสื้อแพร นุ่งโจงกระเบน ถือดาบ แล้วเต้นๆกวัดแกว่งดาบไปมาอยู่บนเวที ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เห็นม๊าและแม่ของคนอื่นๆหัวเราะเอ็นดูกันยกใหญ่ ถ้าถามว่าอายไหม ผมก็คงตอบว่าไม่รู้ เพราะตอนนั้นผมคงยังไม่ทราบหรอกว่าคำว่าอายเป็นอย่างไร ก็เล่นสนุกๆไปตามประสาเด็ก ช่วงที่เรียนอนุบาลนั้นตอนเย็นผมต้องไปเรียนว่ายน้ำกับครูหนอนสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครูหนอนดุมากๆ รู้สึกทรมานทุกครั้งที่เรียน ครูจะตีน้ำแล้วตะโกน “อึ๊บ!!” ให้ผมว่ายไปหาครูกลางสระ ครูก็จะแกล้งเดินหนีออกไปเรื่อยๆ ผมก็ตาลีตาเหลือกว่ายไปให้ถึงสำลักน้ำไปหลายอึกทีเดียว แต่ความพยายามนั่นก็ได้มาซึ่งเหรียญทองแห่งความสำเร็จจากการแข่งขันว่ายน้ำของเทศบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีไมโลเป็นสปอนเซอร์หลัก

     บ้านของผมเป็นตึกแถวประมาณ 3-4 ห้อง อยู่ข้างๆสถานีรถไฟนครศรีธรรมราชเลย ตอนกลางวันเปิดเป็นภัตตาคารจีน ส่วนตอนดึกก็เปิดเป็นร้านข้าวต้มโต้รุ่ง ตอนเด็กๆผมมีความสุขกับการทำหน้าที่เป็นเด็กเสริฟและเด็กเก็บตังค์มาก เพราะว่าเสริฟหรือเก็บตังค์ทีไรก็จะได้ทิปมาเกือบทุกครั้ง เด็กๆพอเห็นเงินก็มักจะดีใจและชอบใจเป็นธรรมดา ส่วนป๊าและม้าก็ไม่อยากให้เสริฟเท่าไรเพราะกลัวจะทำอาหารหกใส่ลูกค้า เพราะตอนนั้นอายุ 5-6 ขวบ ตัวยังสูงไม่เท่าโต๊ะเลย นอกจากนี้แล้วผมยังแสดงตัวเป็นกุ๊กมือหนึ่งของที่ร้านสืบทอดทายาทจากป๊า เข้าไปช่วย (วุ่นวาย) ในครัว ช่วยเด็ดผักเตรียมอาหารให้กุ๊กบ้าง ช่วยตอกไข่เค็มเอาเฉพาะไข่แดงมาไว้เตรียมอาหารบ้าง เท่าที่จำความได้อะไรที่ผมพอทำได้ก็จะช่วยที่ร้านตลอด แม้กระทั่งกวาดขยะ ถูพื้นก็จะแย่งพี่พนักงานทำอยู่เป็นประจำ วันไหนที่วันรุ่งขึ้นโรงเรียนหยุดผมมักจะอยู่โต้รุ่งเป็นเพื่อนป๊าและม้าไปถึงเช้าด้วย ช่วงดึกๆก็จะมีลูกค้าตลอด และจะมีมากขึ้นตอนช่วงฟ้าสาง เพราะคนส่วนใหญ่จะตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย และแวะมากินน้ำชากาแฟในร้าน บางทีตอนเช้ามืดป๊าก็จะขับมอไซค์พาไปกินขนมปังปิ้ง ขนมปังจิ้มสังขยาและไอวัลตินร้อน มันก็เป็นแค่ขนมปังธรรมดา แต่ไม่รู้สิ ตอนนั้นรู้สึกว่ามันอร่อยมาก มากจนบอกไม่ถูก จนต้องร้องขอให้ป๊าขับรถพาไปกินบ่อยๆ กลับมาก็จะทันใส่บาตรตอนเช้ากับม้าพอดี ช่วงปิดร้านวันอาทิตย์บางทีป๊าก็จะพาไปที่โรงสีข้าวของเพื่อนๆ ผมก็เข้าไปในโกดังข้าว ช่วยพี่ๆเค้ากรอกข้าวสารใส่ถุงใส่กระสอบ สนุกดี

     ตอนเด็กๆผมก็ซุกซนตามประสาเด็กบ้านนอกทั่วไป วิ่งเล่นไปนู้นไปนี่ไม่มีหยุด สร้างความวุ่นวายให้กับคนอื่นๆเป็นประจำ วิ่งเข้าไปในโรงแรมเพชรไพลินที่อยู่ข้างๆร้าน กดลิฟต์ขึ้นลงขึ้นลงเล่นๆแล้วก็วิ่งออกไป บางทีก็ไปเล่นซ่อนแอบในโรงแรมของเค้าจนพนักงานต้องไล่ออกไป ออกไปได้สักพักก็เข้ามาอีก จนพนักงานต้องจับอุ้มแล้วพาไปส่งที่บ้าน ทีนี้ล่ะอากงก็เรียกมาว่าเลย แต่เด็กมันก็คือเด็กละเน้อ เรียบร้อยได้แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ออกลายอีก มีอยู่ครั้งหนึ่งก็ได้รวมกลุ่มกับเด็กๆแถวบ้านทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้เลย พอโตขึ้นมาก็รู้สึกว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ คือว่า ปกติแล้วจิ้งจกจะไปวางไข่ในท่อระบายน้ำ พอดีมีเด็กกลุ่มหนึ่งด้อมๆมองๆอยู่เราก็สนใจว่าทำอะไรกัน ทุกคนต่างสงสัยว่าจิ้งจกวางไข่ได้อย่างไร แล้วไข่มันออกมาจากไหน เลือดนักวิทยาศาสตร์สูบฉีดกันทุกคน ก็เลยจับจิ้งจกแถวนั้นมาตัวหนึ่งอ้วนท้วนเชียว แล้วก็มีเด็กคนหนึ่งหยิบกันบุหรี่ที่ยังไม่มอดมาจี้เข้าไปที่ท้อง จัดการจนในที่สุดก็ได้เห็นว่าไข่ในตัวมันเป็นอย่างไร อยู่ตรงไหน ผมก็ได้แต่มองตาปริบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น สุดท้ายก็เอาท่านจิ้งจกอาจารย์ใหญ่พร้อมกับไข่ใบน้อยไปวางไว้ที่เดิม ก็หวังว่าไข่ใบนั้นจะเกิดลูกออกมาได้ แม้ว่าผมไม่ได้ร่วมลงมือด้วยก็ตาม แต่แค่มองดูอยู่เฉยๆก็รู้สึกว่าเป็นบาปแล้ว และในช่วงปี 2531 พายุเกย์ได้เข้ามาถล่มจังหวัดชุมพรสร้างความเสียหายอย่างหนัก นครศรีธรรมราชก็ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ด้วย ผมจำได้ว่าน้ำท่วมสูงประมาณอกของผมในตอนนั้น ผมก็คงตื่นเต้นดีใจอีกเช่นเคยที่ได้เห็นน้ำเต็มถนนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด พอดีที่บ้านมีเรือยางก็เลยเอามาพายเล่นรอบเมืองสนุกมากๆ

     หลังจากจบชั้นอนุบาลผมก็ได้ไปเรียนต่อชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดศรีทวี ซึ่งอยู่ใกล้ๆบ้าน ตอนนั้นอายุประมาณ 6 ขวบเห็นจะได้ ผมเข้าเรียนชั้นประถมเร็วกว่าเด็กๆคนอื่น เนื่องจากตอนเด็กๆหัวไวมาก ป๊ากับม๊าก็เลยพาเข้าโรงเรียนก่อนเกณฑ์ที่กระทรวงกำหนดไว้คือ 7 ขวบ ผมก็สามารถเรียนหนังสือได้โดยไม่รู้สึกถึงความแตกต่างด้านอายุมากนัก สิ่งหนึ่งที่จำได้ไม่มีวันลืม คือ รสชาติของร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นในโรงเรียน ตกเย็นผมก็จะรีบมานั่งที่ร้านแล้วสั่ง “ลูกชิ้นแห้ง” ฟังแล้วอาจจะงง มันคือ ลูกชิ้นลวกใส่ถ้วยเหยาะซีอิ๊วดำนิดนึงโรยน้ำตาลนิดหน่อย เสร็จแล้ว!! อาหารอันโอชะของผมสมัยเด็ก ผมเรียนที่โรงเรียนวัดศรีทวีได้เพียง 1 เทอม ก็มีข่าวร้ายหรือข่าวดีไม่ทราบ คือ ครอบครัวของผมจะย้ายจากนครศรีธรรมราชมาอยู่ที่กรุงเทพฯอย่างถาวร ผมได้ยินตอนแรกก็ดีใจตามประสาเด็กจะได้เที่ยวในที่แปลกใหม่ แต่ในใจลึกๆก็คงรู้สึกคิดถึงสถานที่ที่คุ้นเคย คิดถึงคุณครู คิดถึงเพื่อนๆที่วิ่งเล่นมาด้วยกัน คิดถึงอาหารอร่อยๆ คิดถึงเสียงรถไฟที่วิ่งเสียงดังรบกวนทุกคืน และคิดถึงพี่ๆพนักงานในร้านทุกคน จำได้ว่าต้องจ้างรถบรรทุกถึง 2 คันเลยทีเดียวจึงสามารถย้ายของใช้ที่จำเป็นไปได้หมด ผมหันไปมองบรรยากาศที่คุ้นเคยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่รถค่อยๆเคลื่อนตัวไปจนลับขอบถนน หวังว่าเราคงจะได้พบกันใหม่

     เดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร อาศัยที่บ้านเช่าหลังหนึ่งที่ซอยพาณิชธน หรือซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 ป๊ากับม้าก็รีบหาโรงเรียนให้เรียนจะได้ไม่สะดุด ก็ได้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนเสสะเวชวิทยาซึ่งอยู่แถวบ้าน แต่กลับกลายเป็นว่าต้องไปเรียนในระดับชั้นอนุบาล 2 อีกรอบ เนื่องจากอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้าเรียนชั้น ป.1 นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมเรียนช้าไป 1 ปี แต่ไม่เป็นไรคิดเสียว่าจะได้มีพื้นฐานวิชาความรู้ที่แน่นกว่าคนอื่น ตอนเรียนอนุบาลก็มีสอนว่ายน้ำและบัลเลย์ และได้รับคัดเลือกให้ไปประกวดเต้นประกอบเพลงที่เดอะมอลล์ท่าพระ เต้นเพลงสวยในซอย ได้รางวัลหรือเปล่าจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าอายเป็นแล้ว พอเข้า ป.1 ก็ได้รับคัดเลือกจากครูประจำชั้นให้เป็นหัวหน้าห้อง ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ครูดุมาก ว่าผมจนอยากจะเอาเข็มหัวหน้าห้องส่งคืนเลย ผมได้รับคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องจนถึง ป.3 และเกรงว่าจะได้รับเลือกใน ป.4 อีกจึงให้ม้าไปบอกกับครูประจำชั้นไว้ก่อนว่าปีนี้ไม่อยากเป็น เพราะผมเบื่อมาก ถูกตีตลอดเลย แม้ว่าจะตำแหน่งนี้จะสอนให้มีความรับผิดชอบ มีความเป็นผู้นำและกล้าแสดงออก แต่บางทีสิ่งที่ทุกคนคาดหวังมันก็หนักหนาสาหัสสำหรับเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งอยู่เหมือนกัน ผมอยากใช้ชีวิตช่วงเด็กให้คุ้มค่ามากกว่านี้ จนแล้วจนรอดขึ้น ป.5 ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องอีกครั้ง และยาวไปจนถึง ป.6 ช่วงชีวิตตอนที่เรียนประถมนั้นได้ทำกิจกรรมมากมาย นอกเหนือจากการเป็นหัวหน้าห้องแล้วยังมี แข่งขันว่ายน้ำ อ่านทำนองเสนาะ ประกวดคัดไทย แข่งขันตอบปัญหาวิชาการ นักระนาดเอกประจำโรงเรียน และประกวดศิลปะของเซ็นทรัลยุวชนน้อย

     เมื่อจบ ป.6 จึงไปสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย แต่สอบไม่ติด ป๊ากับม้าจึงต้องร้อนหาที่เรียนให้ผม ในที่สุดก็ได้เรียนที่โรงเรียนโพธิสารพิทยากร อยู่ที่ถนนพุทธมณฑลสาย 1 เขาว่ากันว่าเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งของฝั่งธน ตอนผมเข้าไปเรียนก็รู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เข้าเรียนโรงเรียนนี้ อาจารย์ในโรงเรียนดูแลเราได้อบอุ่นมาก ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านมากครับ ผมเข้ามาในระดับ ม.1 ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องอีกเช่นเคย ได้รับตำแหน่งจนถึง ม.3 ระหว่างนั้นก็ได้ทำกิจกรรมต่างๆทั้งแข่งขันตอบปัญหา สอบนักธรรมศึกษาตรี-โท-เอก และได้บวชเรียนถวายแด่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสครองสิริราชย์สมบัติครบ 50 ปี ในปีกาญจนาภิเษกนั่นเอง

     หลังจากจบ ม.3 จึงไปสอบเข้าที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แต่ก็สอบไม่ผ่านอีกเช่นเคย จึงตอบรับโควต้าของโรงเรียนโพธิสารพิทยากรที่คัดเลือกเด็กผู้ชายคะแนนสูงสุด 5 อันดับแรกไปศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ส่วนเด็กผู้หญิง 5 อันดับแรกก็ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสตรีวิทยา ตามโครงการโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องที่มีมาแต่ในอดีต เมื่อได้เข้าเรียนในรั้วสวนกุหลาบฯ การใช้ชีวิตในโรงเรียนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากผมเป็นเด็กโควตาเมื่อเข้าเรียนในระดับชั้น ม.4 จึงไม่ได้อยู่ห้องเด็กเรียนเหมือนแต่ก่อนมา และเนื่องด้วยเป็นโรงเรียนชายล้วน ไม่เหมือนโรงเรียนทุกที่ที่ผมเคยเล่าเรียนมาซึ่งเป็นโรงเรียนสหศึกษา ความสดใส ความสวยงามและความอ่อนโยน จึงไม่ค่อยมีให้เห็นในโรงเรียนสักเท่าไร มีแต่ความหยาบกระด้างและความรุนแรง โดยเฉพาะในห้องที่ผมได้เข้าเรียนตอน ม.4 แต่ละวันแทบไม่ได้รับความรู้อะไรเพิ่มเติมจากอาจารย์ท่านเลย อาจารย์ถามมา ผมก็ตอบไป ทุกคนในห้องเสียงดังโฉ่งฉ่าง และเนื่องจากผมนั่งอยู่หลังห้อง แม้เสียงตะโกนของผมก็มิอาจแทรกผ่านไปหาอาจารย์ท่านได้ กาลต่อมาจึงได้ยินแต่คำด่า คำว่าและตักเตือนตลอดทั้งคาบ จนหูผมชินและชาในที่สุด ความหวังที่จะได้ความรู้เพิ่มเติมในห้องจึงหมดไป ทำให้ผมต้องขวนขวายเรียนรู้ด้วยตัวเอง จุดมุ่งหมายเดียวตอนนั้นคือ ผมต้องออกไปจากห้องคละและเข้าไปเรียนในห้องคิงให้ได้ และผมก็ทำสำเร็จ ในระดับชั้น ม.5 ผมได้เข้าไปเรียนในห้องคิง บรรยากาศแตกต่างจากปีก่อนอย่างสิ้นเชิง กว่าผมจะปรับตัวให้เข้ากับห้องคิงให้ได้เหมือนแต่ก่อนนั้น มันยากยิ่งเสียเหลือเกิน เพราะความขยันและความกระตือรือร้นในห้องเรียนของผม ได้ถูกลดทอนและหายสิ้นไปแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา และสิ่งนี้ก็คือเป้าหมายใหม่ที่ผมต้องพิชิตให้ได้

     ตลอดระยะเวลา 3 ปีในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนั้น จึงเต็มไปด้วยความสับสนในชีวิตมากมาย ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ผมจึงไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมากมาย มีแต่เพียงการเข้าร่วมโครงการคอมพิวเตอร์โอลิมปิก ที่ผมสนใจศึกษามาตั้งแต่ระดับประถม 4 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากคอมพิวเตอร์จอเขียว Apple ที่ทำให้ผมเกิดความหลงใหลในศาสตร์ด้านนี้อย่างเต็มตัว ผมได้ศึกษาเพิ่มเติมด้านคอมพิวเตอร์มาโดยตลอด โดยวาดฝันให้กับตัวเองว่า วันหนึ่งผมจะต้องเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกนานาชาติให้ได้ ความฝันดูเหมือนจะได้รับการแต่งแต้ม เมื่อตอน ม.4 ผมสมัครสอบ สสวท. แต่สอบไม่ผ่านรอบแรก แต่ในปีนั้นเองได้เกิดโครงการใหม่ของสมเด็จพระพี่นางฯชื่อโครงการ สอวน. เป็นเหมือนค่ายเตรียมตัวสู่ สสวท. ผมจึงได้สมัครสอบและผ่าน ได้ไปเข้าค่ายที่มหาวิทยาลัยลาดกระบังและได้สอบผ่านค่ายแรก ได้ไปเข้าค่ายสองที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต และจากจุดนี้นี่เองทำให้ผมได้มีโอกาสได้รู้จักเพื่อนใหม่ต่างโรงเรียน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันตลอดระยะเวลา 18 วันในหอพักนักศึกษา ในที่สุดผมก็สอบผ่านรอบสุดท้ายได้สำเร็จ ได้โควตาไปสอบ สสวท. รอบสองได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องสอบรอบแรกก่อน แต่ด้วยความอ่อนด้อยในประสบการณ์การแข่งขันทำให้พลาดไปอย่างน่าเสียดาย ได้ทราบมาจากรุ่นพี่เก่าๆว่าผมได้ลำดับที่ 25 แต่เนื่องจากมีคนได้ลำดับที่ 25 ทั้งหมด 4 คน ซึ่งมากเกินกว่าจะรับได้หมดจึงจำเป็นต้องตัดทิ้งไป ตอน ม.5 ก็ได้มีโอกาสสอบใหม่อีกครั้งแต่ไม่ผ่านรอบสุดท้าย สอวน. ทำให้ความฝันนี้ถูกเก็บเอาไว้เป็นเพียงความทรงจำดีๆ เนื่องจากผมต้องมีภาระหน้าที่อันหนักอึ้งที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นก็คือ การเอนทรานซ์

     เนื่องจากผมสนใจด้านคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงชอบงัดแงะถอดประกอบสิ่งของมาตั้งแต่เด็ก จึงตั้งเป้าหมายไว้กับตัวเองว่าจะเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่คะแนนสอบไม่ถึงเกณฑ์จึงได้เข้ามาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เลือกไว้เป็นอันดับที่ 2 แทน ผ่านการเรียนอันหนักอึ้งในช่วงปีหนึ่ง มีหัวเราะ มีร้องไห้เป็นธรรมดา แต่ก็มีเพื่อนๆนี่แหละที่คอยให้กำลังใจ ในที่สุดผมก็สามารถเข้าเรียนในภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ได้ตามที่ตั้งใจไว้

     ก่อนเข้ามาเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ผมตั้งใจไว้ว่าเมื่อได้เข้ามาแล้วผมจะทำกิจกรรมให้หนำใจเสียที หลังจากที่ตอน ม.ปลาย เสียเวลาไปกับการปรับปรุงตัวเองซะส่วนใหญ่ โดยผมได้ตั้งเป้าหมายได้ว่า เข้ามาแล้วต้องหาชมรมอยู่ให้ได้เป็นหลักเป็นแหล่งสักชมรม ซึ่งก็ได้ชมรมจุฬาฯสู่ชุมชุน (Slum Club) นี่ล่ะ ที่เป็นแหล่งพักพิงกายและใจในยามทุกข์ แหล่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง และที่สำคัญเป็นแหล่งเพาะบ่มวิชาที่ไม่อาจหาได้ในห้องเรียน คือ การออกค่ายนั่นเอง ผมออกค่ายไปกับชมรมตั้งแต่ปีหนึ่ง พอถึงปีสามผมก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นรองประธานชมรม ต้องสำรวจพื้นที่และจัดเตรียมค่ายกันเอง จนถึงตอนนี้ผมออกค่ายรวมแล้วทั้งสิ้น 6 ค่าย โดยกิจกรรมในค่ายส่วนใหญ่จะเป็นการทำกิจกรรมให้เด็กๆในถิ่นทุรกันดาร ลักษณะเหมือนไปเปิดโอกาสการเรียนรู้ให้เด็กๆ เพราะบางโรงเรียนมีกล้องจุลทรรศน์ได้รับบริจาคมาแต่ไม่มีบุคลากรด้านนี้ ก็เลยเก็บไว้ฝุ่นจับอยู่ในตู้ พวกผมเลยนำอุปกรณ์พวกนี้มาเป็นสื่อการสอนให้เด็กๆได้เรียนรู้ในสิ่งแปลกใหม่ เมื่อเด็กๆได้เห็นสิ่งแปลกตาก็รู้สึกสนุกสนาน เหมือนตอนที่เราเป็นเด็กหน่ะแหละ เมื่อเด็กมีความสุขเราก็พลอยมีความสุขไปด้วย นอกจากทำกิจกรรมกับเด็กแล้วยังมีกิจกรรมที่ทำร่วมกับชาวบ้านคือ ให้ชาวค่ายได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน โดยแบ่งเป็นกลุ่มไปอาศัยกับชาวบ้าน กินข้าวด้วยกัน ออกไปทำไร่ทำนาด้วยกัน ตกเย็นก็คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยกัน ชาวบ้านเขารักเราเหมือนเป็นลูกของตัวเอง ตัวผมเมื่อเป็น ผอ.ค่ายก็อยากให้ทุกคนได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ตรงนี้ให้มากที่สุด จึงสนับสนุนกิจกรรมนี้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่ทำด้วยกันในค่ายนั่นคือ กิจกรรมสัมพันธ์ชาวค่าย ให้ทุกคนให้รู้จักกัน สนิมสนมกัน จะได้ช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก

     นอกจากกิจกรรมของค่ายพัฒน์แล้วผมยังได้ไปออกค่ายสร้างมาเช่นกัน นั่นคือค่ายยุววิศวกรบพิธ คือค่ายสร้างสะพานของคณะวิศวกรรมศาสตร์นั่นเอง โดยพื้นฐานผมเป็นคนลุยๆอยู่แล้วจึงมีความสุขกับการได้ออกค่ายหลายรูปแบบ ต้องนอนอยู่กับดิน กินอยู่กับหินทราย ไปค่ายนี้แล้วรู้สึกถึงความยากลำบากของอาชีพกรรมกรเลยทีเดียว ผมต้องแบกหิน แบกทราย แบกปูน ผสมคอนกรีต เทพื้น เทเสา ดัดเหล็ก ทำมาหมดแล้ว เหนื่อยมากแต่ก็มีความสุข ได้เข้าใจคำว่าอาบเหงื่อต่างน้ำ และทำงานแลกข้าว ได้ชัดเจนที่สุดเลย ด้วยเสน่ห์ของค่ายที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ได้ใจของผมไปหมดแล้วและผมสัญญาว่าจะต้องขึ้นไปให้ได้ทุกปี จนกระทั่งถึงปีนี้ซึ่งรุ่นผมเป็นคนทำค่ายเอง อย่างไรผมก็ต้องขึ้นไปให้ได้

     ช่วงปีสองได้มีโอกาสประกวด DTAC & Nokia iAwards 2005 และได้รับรางวัลคะแนนรวมสูงสุดมา ถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต และรางวัลนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นสิ่งดีๆในชีวิตผมมากมาย ตั้งแต่ได้มีโอกาสพัฒนาแอพพลิเคชั่นร่วมกับ DTAC จนสามารถวางขายได้จริงในเชิงธุรกิจ ในเกมส์ที่ชื่อว่า iKon Attack และสิ่งที่ผมภาคภูมิใจมากที่สุดคือ Nokia ได้ส่งผมและเพื่อนๆไปอบรม Symbian ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผม และได้นั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้มาด้วยหยาดเหงื่อและแรงงานของผมเองแทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีงานอื่นๆอีกเช่น เป็น Technical Support ให้กับงาน Nokia Next Generation ในงาน E-expo จัดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น หลังจากนั้นก็ได้ร่วมแข่งขันมากมายทั้ง TAM Awards 2005 ได้รับรางวัลชมเชยในหมวด Best Symbian Mobile Game และล่าสุด SAMART Innovation Awards 2006 ได้รับรางวัล Silver Awards ในหมวด Internet Utility

     เวลา 4 ปีนั้นผ่านไปรวดเร็วมาก จนถึงตอนนี้ชีวิตการศึกษาเล่าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยกำลังจะจบลง แต่ชีวิตของเรานั้นยังไม่จบ ชีวิตของเรายังต้องดำเนินต่อไป เป็นธรรมดาของชีวิตที่จะต้องเจอกับปัญหาต่างๆรุมเร้าเข้ามาให้คิดแก้ปัญหาอยู่เสมอ ขอให้เราจงสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้ สู้เท่านั้นที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต จงเก็บเอาเรื่องร้ายๆในอดีตมาเป็นบทเรียนล้ำค่า อันจะทำให้ตัวเรานั้นมีความเข้มแข็งและแกร่งกล้า สามารถต่อสู้กับภัยอันตรายต่างๆในภายภาคหน้าได้ด้วยความมาดมั่นและมั่นคง

4 thoughts on “Autobiography”

  1. jirasak ratanapises

    อ่านเรื่องราวของน้องธีรเดชเเล้วทึ่งและปลื้มกับน้อง คุณได้ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นของคุณ ม1-ม6คุ้มแล้วละ สวน’95

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *