13-22 May 2011 : Southern Island, New Zealand (Part 3)

Day6 : 18May2011 “Milford sound – the world heritage, Queens town”

…Ohh Goddd

Breakfast

Frosty

       หนาวๆๆๆๆๆๆ หนาวมากมาย เช้านี้แทบไม่อยากตื่นนอนเลย อยากนอนเอาหัวซุกหมอนไปทั้งวันท่องเอาไว้ เรามาเที่ยวนี่หว่าไม่ได้มานาน กระเด้งตัวขึ้น แล้วทำมาม่ายามเช้าพร้อมผักที่เหลือจากเมื่อวาน อาบน้ำและนอน เอ้ยย!! แล้วออกเดินทางกันเล้ยยยย!

พอก้าวเท้าออกมาจากบ้านถึงกับสะดุด อูยยยย หนาวมาก หนาวๆๆๆ เฮ้ย! แม่คะนิ้งเกาะรถทั้งคันเลย (ความรู้ใหม่: แม่คะนิ้ง เป็นภาษาอิสาน ส่วน เหมยขาบ เป็นภาษาเหนือ ส่วนภาษากลางเรียก น้ำค้างแข็ง ฝรั่งเรียก frost) ถ่ายรูปกันตั้งแต่หัววัน แตกตื่นกับแม่คะนิ้งกันสามคน ตลกกันจริงพวกนี้

       ฟ้าเริ่มสว่างมากขึ้นก็ออกเดินทางกันที วันนี้มีนัด(ที่จองออนไลน์ไว์) กับเรือนำเที่ยว Milford sound ตอนเวลา 11.00 น. ลุยๆ เริ่้มการเดินทางรายวันกับสภาพภูมิประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป วันนี้จะได้ไปเยือนมรดกโลกทางธรรมชาติ สวยงามเพียงใดคงได้เห็น ขนาดเส้นทางที่ไปยัง Milford sound ยังเป็น Highway มรดกโลกเลย เส้นทางนี้มีอะไรมากมายมาการันตี และมีจุดแวะพักที่รออยู่อีกตลอดเส้นทาง ทั้ง Mirror lake, Knob flat, The chasm ผ่าน Homer tunnel สุ้ท้ายปลายทางคือ ท่าเรือ

มุมมอง ผ่านมองมุม(กล้อง)

ตากล้องประจำทริป

เราสามคนมาถึงสวรรค์แย้วววววว

ต้องยอมรับว่าเส้นทางวันนี้สวยจริงๆ สวยมากๆ เหมือนสวรรค์เลย แม้ว่าไม่เคยไปสวรรค์ แต่ก็เข้าใจว่ามันคือที่ที่งดงาม สงบเงียบ และบริสุทธิ์ แล้วมันต่างอะไรกับเส้นทางที่กำลังขับไปนี่ล่ะ เช้านี้ยังพอมีเวลาชมทางไปเรื่อยๆ เพราะว่าออกกันมาเช้าพอสมควร มีหลายจุดที่แวะพักถ่ายรูป  เพราะมันสวยเกินจะบรรยายจริงๆ

Like the heaven

แดดเริ่มทาพื้นสวรรค์

แดดเริ่มละเลงแสงสีทองอีกครั้งหนึ่งในเช้าวันนี้ ทอลงบนทุ่งหญ้าสีเหลืองประกายของเกล็ดน้ำแข็งเกาะกันทั่วทั้งทุ่ง ไอหมอกยามเช้ายังคงทิ้งตัวลงหนักลอยอยู่เหนือทุ่งหญ้าอย่างช้าๆ ยอดเขาสีเขียวเข้มค่อยๆแสดงตนเมื่อแสงแดดค่อยเผยใบหน้าของขุนเขาให้ได้เห็น ลมเย็นๆเพียงพัดผ่านผิวอย่างนุ่มนวล ไม่กระโชกให้ผิวหนังรู้สึกเจ็บและเหน็บหนาว เสียงนกร้องในดงป่าส่งเสียงมาช่วยบรรเลงคลอ เตรียมเบิกโรงความงามที่จะเอในข้างหน้าอีกไม่ถึงชั่วโมงนี้ รู้สึกว่าสวรรค์แดนนี้ มันเป็นจริงมากขึ้นไปอีกในทุ่งระยะทางที่ล้อหมุนเข้าไปใกล้จุดหมายปลายทางเรื่อยๆ

The Mirror lake

         หยุดถ่ายรูปอยู่นานพอสมควร ยืนทึ่งกับความงาม ความมหัศจรรย์ที่ได้เห็น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้เห็นความสวยงามแบบนี้อีกเมื่อไร จดจำมันไว้ฝังลงดวงตาทั่งคู่แล้วเดินทางกันต่อ ก็พบเจอะ Mirror lake ทางซ้ายมือ กับท้องฟ้าสีฟ้าในขณะนั้น จึงอดไม่ได้อีกครั้งที่จะเสียเวลาการเดินทาง พวกผมกระโดดกันลงมาจากรถวิ่งมาดู Mirror lake ลุ้นจริงๆว่ามันจะสะท้อนอย่างที่คิดไว้มั๊ย และพอได้เห็นได้ยลจริงๆจังๆ ก็ประจักษ์หัวใจเลยว่า นี่ล่ะคือ  Mirror lake ไม่มีทางจะเป็นชื่ออื่นได้ ภาพสะท้อนบนผืนน้ำสวยกว่าของจริงซะอีก น้ำนิ่งมาก โชคดีเช้านี้เป็ดยังไม่ตื่นมาก่อกวนผิวน้ำในทะเลสาบ ภาพสะท้อนวันนี้จึงชัดแจ๋วเลยทีเดียว

Panorama of Mirror lake

Mirror mirror

Mirror me

          ขณะขับไปทางยังคงคดเคี้ยวเลี้ยวเลาะในป่าเขามรดกโลก เวลาก็เริ่มกระชั้น ทำให้การแวะจุดต่างๆเอามาเติมในขากลับ ที่น่ากลัวก่อนจะถึงก็ตอนจะเข้า Homer tunnel นี่ล่ะ อุโมงค์ยาวเป็นกิโลเมตร เจาะทะลุภูเขาเพื่อไปอีกฝั่งนึง อุโมงค์มืดมากกกก ทำเอาคนกลัวที่แคบอย่างไอเบิ้มกลัวไปเลย ส่วนผมกลัวตอนขับมากกว่า ทางมันลาดลง กลัวถนนลื่นแล้วมันไถลในถ้ำครับ ขับได้สักระยะก็ออกมาทะลุอีกฝั่งนึง เขาสูงหน้าผาชัน ตรูต้องขับรถเลี้ยวเลาะไปอีก เสียวชะมัดเลย เปิดหน้าต่างได้กลิ่นผ้าเบรคไหม้ด้วย แอบเครียดนะนี่ แต่ยังไงก็ต้องไปต่อ ใกล้เวลาแล้วจะมาหยุดพักไม่ได้ ขับไปเรื่อยๆ พยายามแตะเบรคให้น้อยที่สุด เพื่อพักผ้าเบรค เวลากระชั้นเข้ามามากขึ้นอีก ณ เวลานั้น อีก 15 นาที เรือจะออกแล้วจะทันไม่นี่ โอยๆๆๆๆ ผมมั่นใจว่าทันนะ ก็ยังขับไปต่อ ด้วยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น เล็กน้อย เห็นรถของบริษัทเรือขับมาอยู่ด้วยแถวนี้เลยมั่นใจว่า โอเค นั่งเรือลำเดียวกัน ไปด้วยกันละกันนะ ขับตามไปเรื่อยๆจนถึงท่าเรืออย่างเฉียดฉิว พวกผมจอดรถตรงที่ห้ามจอด(มันไม่ทันแล้ว) แล้วรีบไปยื่นตั๋วทันที ดีครับที่มาทัน พวกผมขึ้นเรือ เอาของวาง สักพักไม่นานเรือก็ออกจากท่า เฮ้อ…โล่งกันไประลอกนึง ทันแล้วๆ ดันมาชิลด์ตอนเช้ากันดีนัก แต่วิวสวยจริง ประทับใจ ชมวิวบนเรือกันต่อดีกว่าครับ

Milford sound

           แนะนำ Milford sound นิดนึง มันคือการยุบตัวของเปลือกโลกในยุคน้ำแข็ง  เกิดเป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเล ในส่วนที่เป็นพื้นดิน เรียกว่า  Ford(Fjord) ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ เรียกว่า Sound ครับ

So much happy

สู้ตายกับน้ำตก

           หลังจากเรือออกจากท่าก็เอาของวางเข้าที่ เอาsnackที่สั่งไว้มากิน แต่ไม่ได้กิน เพราะวิวสวยอีกแล้ว เลยไปยืนถ่ายรูปหน้าเรือตลอดเลยครับ เยี่ยมชมความสวยงามทางธรรมชาติอย่างอิ่มเอมเลย อากาศเย็นบนผิวน้ำเข้ามาปะทะตลอด ปะทะจนหน้าบานเลย นับจากนั้น หน้าเลยบาน เสียใจโฮก นิวซีแลนด์ทำผมดูเตี้ยแบบฮอบบิทแล้วยังทำตรูหน้าบานอีก ฮือๆ.. นั่งเรือชมหลายจุด จุดแรกที่แวะก็เยี่ยมชมน้องแมวน้ำ น่ารักมาก ยิ่งตอนมันเดิน มันจะบิดๆต้วมเตี้ยมๆ ตอนเจอสองตัวกำลังพลอดรักกันอย่างมีความสุข ถอดรูปได้ไม่นาน เรือก็ไปอีกจุดพาไปดูน้ำตก แล้วที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นก็ไปเจอฝูงโลมานี่ล่ะ โลมา มันน่ารักมากๆ มันว่ายมาเล่นกับเรือ เจอเยอะมาก เห็นหางแวบๆอยู่หลายที ถ่ายรูปไม่ทัน มีมาว่ายไล่ตามเรือด้วย ไม่นึกว่าจะได้เจอใกล้ชิดขนาดนี้ครับ ชอบๆ เสร็จจากเล่นกับโลมา เรือก็ออกมาที่ปากอ่าว ชมวิวไปเรื่อย แล้ววนเรือกลับ ดูวิว ดูความงดงามไปเรื่อยๆอีกครั้ง รวมแล้วก็เกือบสองชั่วโมงครับ ระหว่างนี้อยู่นอกเรือตั้ง 95% ที่เหลือนั่งในเรือ นั่งน้อยมากเลยล่ะครับ มีแต่เข้าไปกินชาร้อนๆ หลบอากาศหนาวแค่นั้นล่ะครับ

นั่งชมวิวไปเรื่อยๆ มีความสุขจัง อากาศเย็นแต่อุ่นใจ มันเป็นความสุขที่อบอุ่น ไม่เร่งไม่รีบ ไม่ขัดแย้งกับใคร นั่งดูรอยยิ้มของคนที่เดินผ่านมาผ่านไป แต่ละครอบครัวมีความสุขกับการได้มาพักผ่อน บ้างก็พาลูกมา พาแฟนมา ทุกคนล้วนไปมองทางหัวเรือ มองแบบไม่คิดอะไร มองไปข้างหน้า แบบผม ยิ้ม ดูความงาม ความสงบของที่นี่ แล้วทุกคนก็ได้สัมผัสมัน แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นเพียงใด“ความสุขที่อบอุ่น”

my girl haha

 

สวยมากครับ Fjord and Sound

Water fall

          เสร็จจากการล่องเรือ ก็ขึ้นฝั่งมายังลานจอดรถ โดนคนขับรถบัสโวยว่าห้ามจอด แต่ไม่มีล็อคล้อ แหะๆ ยิ้มขอโทษ say sorry แล้วขับไปหาที่จอดจริงๆจังๆนั่งกิน snack ที่สั่งไว้ snack มันใหญ่มาก แค่นี้ก็กินกันอิ่มเลยล่ะ ผมรีบยัดเข้าปาก แล้วลุยต่อ ขับกลับเส้นทางเดิมไปเก็บความสวยงามตามรายทาง

จอดแวะข้างทาง

เล่นหิมะกัน ขว้างด้วยๆ

ผมโยนหิมะใส่หัวตัวเองครับ

Let it Snow !!!

          ทางกลับยังคงมีหิมะขาวโพลนปกคลุมทั่วไปหมด ผมก็แวะจอดอีกตามเคย จอดไปสองสามที่ เจอครอบครัวสิงคโปร์พาลูกสาวตัวเล็กมาเล่นหิมะข้างทาง น่ารักมากๆ ดูอบอุ่นจัง ผมก็ไปจอดเล่นหิมะอีกที่ หิมะใหม่ๆ นี่มันนุ่มจังครับ ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปหลายช็อต โยนหิมะ ปาหิมะ สนุกๆ ได้เห็นเบิ้มกับเฮียยิ้มแบบว่า มีความสุข สนุกจริงๆจังๆ เลยล่ะ ผมก็ยิ้ม ^^ เล่นไปสักพักก่อนจะขึ้นรถ มองเห็นอะไรลอยแปลกไปข้างหน้า ตอนแรกก็นึกว่าตาฝาดไปคนเดียว สักพักเฮียกับเบิ้มก็ทัก ไอ่ละอองสีขาวที่ค่อยๆลอยลงมาอย่างนุ่มนวลตามกระแสลม นั่นมันคือ หิมะหรือนี่ อยากตะโกนดังๆว่า เย้ๆ หิมะตกๆๆ เสร็จสรรพจากการเล่นหิมะ ก็ไปต่อกันอีก

The Chasm

The Chasm again

           แวะ The chasm ดูการกัดกร่อนของน้ำและลมต่อโขดหิน มองไปยังธารน้ำ สวยเว่อร์, ขับไปแวะ Mirror lake อีกที ถ่ายภาพซ่อมอีกเล็กน้อย, แล้วไปแวะที่ Knob flat หนังสือว่าวิวสวย เจอแล้วเฉยๆ ทางตอนมาสวยกว่าเยอะครับ เอ้อ พูดถึงเวลา ที่นี่ตอนขามาจะสวยกว่าขากลับมาก โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ผมขับมาตอนเช้า แล้วจะได้เจอสวรรค์แบบผม เก็บตกจุดแวะครบหมดก็วิ่งยาวเลยครับ เพราะต้องไปนอนปลายทางที่ Queens town ครับ ผมมีแวะ Te Anau อำลาอีกครั้ง โดยเข้าไปเติมน้ำมัน แล้วซิ่งสายฟ้าครับ ขณะขับกลับไป ก็เจอะกับวิวสวยๆระหว่างทางอีกตามเคย ไม่วายแวะจอดครับ เดินลงไปถ่ายรูปยืดเส้นยืดสายแก้ง่วง ตั้งนาน อิ่มภาพอิ่มใจกันไปตามๆกัน ทุ่งกว้าง สายน้ำ ภูเขา และท้องฟ้าของที่ประเทศนี้ งดงามจริงๆ

Way back to Queens town

ทุ้งหญ้า กับแกะ

ทุ่งหญ้า กับหมู

ทุ่งหญ้า ท้องฟ้า ภูเขา และสายน้ำ

           พอมาถึง Lake Wakatipu ก็เก็บตกภาพอีกที่ค้างไว้ตั้งแต่ขามาเมื่อวานอีก ทะเลสาบยามนี้สวยงามไม่แพ้ทะเลสาบใดที่ได้ผ่านมา

Wakatipu lake

Wakatipu lake

ลมแรงไม่สน ตรูจะถ่ายรูป

รถคันนี้พร้อมรบเสมอ จอดข้าง The remarkable เลยล่ะ

On the way or all the way

          เมื่อมาถึง Queens town ก็หาที่พักกันอันดับแรก ฟ้าเริ่มมืดแล้วครับ ขับไปพักที่ Absolute Value Accomodation reception ที่นี่เซ็กซี่มาก เดินน่าดูทุกท่วงท่า แม้กระทั้งเปิดดูคอม ท่ายังสวยเลย บิดได้จังหวะ เอียงได้มุม สรุปว่าสวยครับ

สาวเซ็กซี่คนนั้น

ที่พักคืนนี้ก็พักกันสามคน ไม่มีใครมากล้านอนกับพวกผมอีกตามเคย ฮ่าๆๆๆ ห้องสะอาด มีห้องน้ำในตัวเตียงนุ่ม ส่วนตัว ติดทะเลสาบ ราคาเพียง 23$ เท่านั้นเองครับ อาหารเย็นวันนี้ไปกินอาหารเกาหลีกัน อยากกินอาหารปิ้งย่างมาหลายวันแล้ว ดีใจที่ทุกคนตามใจ แหะๆ เบื่อขนมปัง สเต้กมากมายครับ คิดถึงอาหารไทยจับใจเลยล่ะ กินเสร็จ เดินช็อปกันเล็กน้อย มีของน่าซื้อหลายอย่าง ผมเดินซื้อพวกตุ๊กตา พวงกุญแจเป็นของฝากที่เมืองนี้ล่ะ เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ เพลิดเพลินดี ^^ ตอนเดินเจอครอบครัวสิงคโปร์อีกสองสามรอบ เห็นว่าจะอยู่ที่เมืองนี้ตั้ง 4 คืนแน่ะ อิจฉาๆ เค้าบอกว่า เราพักได้น้อยจัง ผมนึกในใจ เนี่ยมากสุดเท่าที่จะมากได้แล้วล่ะครับ

          คืนนี้ก็ยังมีความสุขกับการได้กินไวน์ในวันที่สอง มาถึงที่กินซะ ครั้งนี้ก็ให้เจ้าของร้าน Liquor Store แนะนำไวน์ครับ อืมมม รสชาติเฝื่อนดี ใช้ได้ๆ ซื้อมาสองขวด ขวดนึงไวน์แดง อีกขวดไวน์ขาว กะว่าไวน์ขาวจะเอาไปกินกับปลาแซลมอนวันพรุ่งนี้ครับ ฮิฮิ พร้อมรบๆ หลังชนแก้วกันเสร็จก็หลับปุ๋ยด้วยความอ่อนเพลีย

          ความสุขที่อบอุ่นในวันนี้ ช่างวิเศษจริงๆ

Day7 : 19May2011 “Queens town, Lindis pass and Lake Pakoki”

Morning Queens town

Maple story

           เช้านี้ที่ Queens town อากาศเย็นสบาย ทะเลสาบยามเช้า พวกผมตื่นมาดูวิว ดูเป็ดว่ายน้ำ ชมเมืองยามเช้า เมืองนี้สวยงามครับ เป็นเมืองที่มีตึกสูงมากกว่าสองชั้นเมืองแรกนับจากChristchurch ครับ สวยงาม น่าอยู่ เหมือนเมืองในยุโรปเลยครับ เดินกันได้ไม่นานก็หิวอาหารเช้าแล้ว เช้านี้พักการทำอาหาร มาเดินหาbreakfast กินกัน เดินไปเดินมาก็ต้องเลือกสักร้าน แม้ว่าจะไม่อยากกินอาหารฝรั่งเท่าไร ก็ต้องกินแล้ว จะต้องไปเตรียมขึ้นเรือ Shot over jet ที่จองไว้ ขับรถหาที่ขึ้น Shot over jet อีก ครั้งนี้ต้องใช้บริการ GPS อีกครั้ง เพราะไปเกือบไม่ทัน หุหุ เกือบไม่ทันตลอดตรู สุดท้ายก็หาเจอ และทันน่ะครับ ต้องขับมาทางเมือง Arrow town อีกเส้นทางนึง มาไม่ไกลจากตัวเมืองก็เจอครับ มาถึงก็เตรียมเครื่องกันหนาวเล็กน้อย แล้วใส่ชุดซังกุงคลุมกันหนาว ใส่แล้วโคตรอุบาทว์เลย ทำไงได้ เค้าให้ใส่นี่หว่า หลังจากเตรียมทุกอย่างพร้อม ทุกคนมาครบ ก็เริ่มความมันกันเลย

From the Gondolar

Wakatipu lake from Gondolar view

Look at me

           พอขึ้นเรือพี่คนขับก็เริ่มสาธยายอะไรมากมาย ไม่รู้เรื่องหรอก เข้าใจแค่ว่าถ้าชูมือขึ้นหมุนๆให้จับให้แน่น เพราะ จะหมุน360องศาน่ะครับ เข้าใจตามนี้ก็เริ่มครับ ความสนุกของการนั่งเรือนี้ก็คือการได้ชมวิวรายทาง น้ำใสไหลเย็น ภูผาสูงชัน ต้นไม้เปลี่ยนสีริมทาง แค่นี้ก็คุ้มค่าเรือแล้ว ได้นั่งเหวี่ยงๆหมุนบนเรือ ก็ตื่นเต้นเล็กน้อยครับ ไม่ได้สนุกสุดเหวี่ยงอย่างที่คิดไว้ แต่ก็โอครับ นั่งเรือเสร็จก็ขับเข้าเมืองขึ้น Gondolaครับ ชมวิวเมือง Queens town ก่อนจะไปต่อ มีคนบอกว่าถ้าไม่ได้ขึ้น Gondolar แสดงว่ายังมาไม่ถึง Queens town เอาว่ะ ขึ้นก็ได้ จริงๆอยากเล่น Luge ด้วย ที่มันไหลลงมากเขา แต่มันจะเสียเวลา เลยข้ามตรงส่วนนี้ไป แค่นั่งกระเช้าขึ้นลงเป็นพอ วิวตรงส่วนที่ขึ้นไปได้เห็นตัวเมืองทั้งเมือง และเห็น Wakatipu lake อย่างชัดเจนก็สวยดีครับ อีกอย่างเห็น The remarkable ชัดด้วย จากมุมบนนี้ไม่ได้สวยอลังการมากมายอะไร แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ เพราะขับรถตลอดก็เหนื่อยเหมือนกัน ดูวิวมุมนี้ก็ดี

Shot over jet

ซังกุงสูงสุด

Shot over jet

            ในเมือง Queens town จริงๆแล้วน่าอยู่หลายวันเลยครับ เนื่องจากเป็นเมืองที่มี Activities มากมายให้ทำ ไม่ว่าจะเป็น Shopping นั่งเรือกลไฟ ขับรถ4WD เล่นsky dive แล้วมีอีกมากมายเลย จึงไม่แปลกที่คนจะมาเที่ยวที่เมืองนี้กันนานๆน่ะครับ ถ้าผมมีเวลาคงจะขับ4WD ตามภูเขา ชมเมือง น่าจะสนุกเยอะเลยครับเสียดายเวลาน้อยน่ะครับ

I love you, Arrow.

            แอ่ว Queens town เสร็จก็กลับไป Arrow town ทันที โดยไปเส้นทางใหม่ ดูวิวอีกบรรยากาศครับ ได้กลับมาเมืองนี้อีกครั้ง ดีใจมาก คิดถึงๆ ต้นไม้ยังคงผลัดใบเปลี่ยนสีรอการกลับมาของผมอยู่ ยังมีความงดงามอีกหลายมุมในเมืองแห่งนี้ และผมมั่นใจว่าได้สัมผัสมากกว่าหลายๆคนที่มาเที่ยว เพราะผมขับมั่วเข้าไปเยอะพอสมควร เดินไปดู Arrow river อีกทีก่อนไปกินข้าวเที่ยง เสียดายไม่ได้มีเวลาไปดู river ตรงจุดที่ถ่ายทำ The Lord คงสวยน่าดู คิดเว่อร์ไปเองอีกล่ะ มื้อเที่ยงวันนี้ได้กินอาหารไทยครับ เดินผ่านแล้วเจอคนไทยมาทัก พอเจ้าของร้านบอกว่ากุ๊กเป็นคนไทย ตัดสินใจกินทันที อยากกินรสเผ็ดไม่ไหวแล้ววุ้ยยยยย กินๆๆๆ สั่งผัดกระเพราะไก่ ต้มยำกุ้ง อร่อยดีครับ ถือว่ารสชาติดี ดีกว่าที่เมืองไทยหลายๆร้านครับ นั่งพักกินอิ่ม ก็ทำเวลาต่ออีก เพราะต่อจากนี้ก็จะยิงยาวเลย โดยจะแวะ Cromwell ก่อน ซื้อของกินเพิ่ม และกินไอศกรีม แวะถ่ายภาพ Lindis pass, ไปเยี่ยมชม Mt.Cook, Pakoki lake และนอนพักที่เมือง Tekapo lake เมื่อพร้อมก็ออกเดินทางทันทีครับ

             ในวันนี้ที่ Cromwell ก็ยังวุ่นวายเหมือนเดิม เบิ้มกับเฮียก็ไปวุ่นวายกับกีวี่สีทอง ส่วนผมก็วิ่งซื้อไอศกรีมกิน โอ้วววว อร่อยเหลือล้น หอมกลิ่นberryผสมกล้วยหอม อร่อยมากมาย ซื้อเสร็จก็ขับด้วยความเร็วสูงอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ครับ เนื่องจากยังอยู่ในเขตเมือง ขับได้ไม่เกิน 80 กม/ชม. แต่ผมขับไป 99 กม/ชม. ตำรวจเลยขับตามจับเลย ในขณะที่ผมกำลังจะเปลี่ยนคนขับพอดี แอบง่วงหน่อยๆน่ะครับ ตำรวจเลยเดินมาแล้วแจ้งว่าขับเร็วเกิน แล้วแกดันชะโงกหน้าเข้ามาในรถ เห็นเฮียไม่ได้คาดเข็มขัดอีก ปรับเพิ่มอีก  จากปรับ 120 เพิ่มอีก 150$ สรุปจ่ายตั้ง 270$ แน่ะ ไม่น้อยเลยนะนั่น ถูกปรับเสร็จ หมดแรงเลย แอบเซ็ง เล็กน้อย รู้สึกผิดที่ตัวเองดันขับรถเร็วจังครับ หลังจากนั้นจึงไม่กล้าขับเร็วมากครับ เปลี่ยนให้เบิ้มขับแทนด้วย กลัวๆ หลังจากผ่านเมืองผลไม้ได้ไม่นาน ผมก็หลับครับ หลับครั้งแรกบนรถตั้งแต่เดินทางมา ง่วงเพลีย ทำใจไม่ได้ รถเข้าสู่ความสงบ เฮียก็เจ็บใจที่ถูกปรับด้วย จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ควรจริงๆครับ เรื่องความเร็ว แต่ในบางช่วงถ้าไม่เร่งความเร็วเลย มันไม่มีทางจะเที่ยวได้ครบขนาดนี้ครับ นี่คือเก็บครบทุกจุดแวะ แถมยังเพิ่มรายทางมากกว่าชาวบ้านชาวช่องอีก แวะแต่ละที่ก็กินเวลามากกว่าที่กำหนดครับ ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสคงไม่จัดตารางแน่นๆครับ จัดหลวมๆ ขับสบายๆ เพราะครั้งนี้เก็บครบหมดแล้วหนิครับ ฮ่าๆๆ ว่ามะครับ อาเอียบอกว่า ถ้ามานิวซีแลนด์ไม่ถูกปรับ แสดงว่า ยังไม่ได้มาเที่ยวนิวซีแลนด์กับเต้ ฟังแล้วดูเหมือนดีนะครับ หุหุ

             หลังจากหลับไปคอเอียงไปมาได้สักพัก ก็ถูกปลุกว่า ตอนนี้เดินทางมาถึง Lindis pass แล้ว จะถ่ายรูปมั๊ย?  ในความคิดแวบแรก ขี่เกียจอะจะนอน ไม่ถ่าย… อีกไม่ถึงเสี้ยววินาที  ก้มีความคิดใหม่แทรกเข้ามา ไม่ได้ มาเที่ยว ไม่ได้มีโอกาสมาบ่อยๆ ผมเปิดตาทันที แล้วพูดว่า “ถ่ายๆ จอดรถๆ”

Lindis pass 1 2 3 Yo!

             ตรง Lindis pass เป็นทางที่ทุกคนต้องผ่านทุกคน เวลาเดินทางมาเที่ยว Queens town เพราะมันตรงต่อ Christchurch เมืองหลวงของเกาะใต้เลยทีเดียวครับ ตรงทางผ่านนี้เอง เป็นส่วนที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะภูมิประเทศ ถ้าขับรถเดินทางจะรู้เลยว่า อ่อ เริ่มมีเนินเขาแล้วนะ หน้าตารายทางก็เริ่มเปลี่ยนไปด้วย ตรงส่วนนี้ภูเขาจะยกตัวชัดเจน เห็นเป็นคลื่นๆ แล้วมีหญ้าสีทองปกคลุมไปทั่วเนินเขา มองไปไกลสุดตาก็ยังเห็นคลื่นภูเขาเหล่านี้ จัดว่าสวยมากเลยล่ะครับ ถ่ายได้ไม่กี่ภาพก็ต้องไปต่อ เพราะยังเศร้ากับการถูกปรับ และทำเวลาได้ไม่ค่อยดีเท่าไรด้วย แวะถ่ายภาพรายทางวันนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด วันนี้ผมได้มีโอกาสนั่งกินลมวิวมากขึ้น เพราะวันนี้ไม่ได้เป็นคนขับน่ะครับ จึงไม่ต้องมากังวลทาง มองวิวไปเรื่อยๆ สบายๆ ^^

Lindis pass and ME

Mt Cook Aura

             เมืองที่ผ่านวันนี้น่าแวะน่ะครับ แต่เวลาไม่ทันจริงๆ ทั้งเมืองOamaru และ Twizle อยากแวะๆ ตามจริงในแผนการก็ไม่มีหรอกครับ คิดแต่ว่า ถ้ามันว่างมีเวลานิดหน่อยก็น่าแวะ ผมขับเลยเมืองสำคัญไปจนถึงทางแยกระหว่างสองทะเลสาบ แล้วผมก็เลี้ยวซ้ายไป Mt Cook เลาะเรียบ Pakoki lake เพื่อไปชมความงามของยอดเขา ณ เวลานั้นเวลาก็ล่วงมาเยอะมากขึ้น ห้าโมงเย็นแล้ว ขับไปสักพัก เฮ้อ ยังอีกไกลเลยว่ะ ถึงปลายทางคงมืดทีเดียว กลับก็ได้ครับ แอบเซ็งนะเนี่ย วันนี้ไม่ได้เป็นไปตามเป้าสักอย่าง ไม่ได้แวะถ่ายรูปย่างที่คิด โดนปรับอีก เวลาก็ทำได้ไม่ดี เฮ้ออออออ แอบเสียดายลึกๆนะนี่ ขณะขับกลับไปหาโรงแรมที่จองไว้ ซึ่งผมวางแผนว่าจะใช้อีกเส้นทาง ที่เชื่อมระหว่างสองทะเลสาบ ขับเลาะคลองส่งระหว่างทะเลสาบไป แล้วจะเจอ Salmon farm ที่ตั้งใจจะไปกินกันไว้ ร้านนี้เป็นร้านดังครับ เลี้ยง Salmon โดยอาศัยน้ำจากสองทะเลสาบนี่ล่ะ น้ำจากธารน้ำแข็ง หิมะละลายไหลลงPokoki lake แล้วไหลผ่านคลองเชื่อมที่ว่านี่ โดยไปเชื่อมปลายทางที่ Tekapo lake โม้มาเยอะ แต่พอไปถึงที่ Farm ปลา เค้าปิดร้านกันซะแล้ว เสียใจๆ อยากกิน แม้ว่าจะไม่ได้ถนัดปลาดิบ แต่มาถึงขนาดนี้ก็เสียดายน่ะครับ ล้มเหลวอีกโปรแกรม ผมจึงขับไปต่อปลายทางก็คงที่พักแล้วล่ะ ซึ่งฟ้ามืดไปซะแล้ว คลองที่ขับก็ขนานไปกับถนนนี่ล่ะครับ

To Mt Cook

Mt Cook with the car

Mt Cook with the road

             ขับกลางคืนนี่น่ากลัวแฮะ เป็นการขับกลางคืนครั้งแรกที่นี่เลยล่ะครับ มันไม่มีรั้วกั้นข้างคลองน่ะ มีโอกาสขับตกได้ทุกเมื่อ อีกฝั่งของถนนก็ยกสูงขึ้นมา -,- น่ากลัวจะตกเขา ขับแบบอย่างระมัดระวังมากขึ้นไปอีก ความเร็วก็ลดลง เอาว่ะ อีก 40 กิโลเมตรก็จะถึงปลายทาง ค่อยๆเข้าลูก ในขณะที่ขับไม่เห็นแสงไฟดวงใดนอกจากแสงของรถยนต์ที่ผมนั่ง มืดสนิท มองไปรอบๆก็เห็นเพียงรถขับอยู่ไกลลิบ นึกว่าจะมาทางเดียวกัน สุดท้ายขับเลี้ยวหายไปไหนไม่รู้ เลาะคลองได้สักพักก็มาถึงแยกถนนเส้นหลัก ก็ขับวิ่งตามทางถนนใหญ่ต่อ ดีใจและหายเครียดจนหายใจออกมาแรงๆ “เฮ้อ ไม่ต้องเลาะคลองแล้ว กลัวตกแทบแย่” พอเข้าถนนหลักก็ขับรักษาความเร็วแค่ 80-100 ไม่มากไปกว่านี้ กลัวอันตรายยามค่ำคืน GPS ยังทำงานได้ในเวลาไม่มีแสงตะวัน ดีจริงๆ บอกทางตลอดว่าถึงไหนแล้ว จำได้ว่าในช่วง 15 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนจะถึงเมือง Tekapo ก็พบกับกระต่ายป่า วิ่งตัดหน้ารถครับ มันโผล่มาเร็วมากจากด้านขวาวิ่งไปทางซ้ายกำลังจะตัดหน้ารถ แล้วหันมาทางรถสักแวปหนึ่งแล้ว “อี๊ดดดดด พลั่ก” … กระต่ายตัวนั้นตายครับ รถผมยังคงพุ่งไปที่ความมืดข้างหน้าที่ปูด้วยยางมะตอยด้วยความเร็วคงที่ ผมยังจับพวงมาลัยแน่นต่อเนื่อง เพราะกลัวรถเสียหลัก นั่งนึกตลอดทางว่า สรุปเมื่อกี๊ที่เห็นใช่กระต่ายมั๊ย คิดว่าใช่ เพราะมันหูยาว ตัวสีน้ำตาล แต่ตัวใหญ่มาก สูง 40 ซม.ได้ กะเอาน่ะครับ รู้สึกผิดจังชนมันตายซะงั้น เสียงอี๊ดที่ดันนั้น ไม่ใช่เสียงรถยนต์เบรคน่ะครับ มันคือเสียงสุดท้ายที่มันร้องก่อนตาย รู้สึกผิดจัง แต่ทำไงได้ ขับไปแผ่เมตตาไป สักพักก็ไปถึงโรงแรมที่พักที่ได้จับจองไว้ แล้วเครื่องGPS ก็พูดว่า “You’re reach the destination” เยี่ยมยอดจริงๆครับ

              อ่อ ถนนที่นี่ไม่ว่าเส้นหลักหรือรอง ถือว่าเป็นทางหลวงหมด แล้วก็มีแค่สองเลนสวนขับสวนกันแค่นั้นน่ะครับ ไม่มีกว้างกว่านี้ ป้ายบอกทางก็เล็กพอดีเห็นเท่านั้น ไม่มีติดใหญ่โตอะไร ที่ติดโตๆก็คงยังเป็นป้ายจำกัดความเร็วนั่นล่ะครับ เวลาขับไประหว่างเมือง ต้องค่อยๆวิ่งไปให้เห็นป้าย พอได้อ่านแล้วค่อยเลี้ยวตามจุดหมายปลายทางครับ เลยต้องขับชะลอเวลาเจอแยกทุกครั้ง อุบายแยบยลมาก ตรูเลยต้องชะลอตลอด เพื่ออ่านป้าย

              ถึงก็ดึก ไม่ได้เดินเว้อเลย เมืองนี้ตอนกลางคืนไม่ค่อยมีอะไรด้วยสิครับ เพราะเป็นเมืองผ่านทาง สมัยก่อนเมืองนี้เป็นเมืองสำหรับนักปีนเขาที่ Mt Cook ลงมานอนพักน่ะครับ เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า Tekapo ภาษาเมารี แปลว่า Sleep night ไม่รู้ว่า Taka หรือ Apo คำไหนแปลว่า sleep คำไหน night นะครับ จำบ่ได้ เอาของวางเข้าที่พัก แล้วออกหากินทันที เดินหากระด้งแล้วติดปีกบินแบบกระหัง แขว่กๆๆๆๆ อากาศเย็นค่ำคืนนี้ ทำหิวมากขึ้น ทราบว่ามีอาหารญี่ปุ่นละแวกนี้ จึงหากันอย่างตั้งใจมาก หวังว่าอย่างน้อยปลาจากในฟาร์มจะถูกส่งมาขายที่นี่บ้าง สุดท้ายก็เจอจนได้ พวกผมตรงดิ่งเข้าไปในร้าน หาที่นั่งแล้วกางเมนูทันที

Salmon teriyaki

Salmon dong

Bento

พอพนักงานมาถึง คำถามแรกของผมคือ “ปลาSalmonส่งมาจากฟาร์ม ใช่มะครับ” พนักงานตอบทันควันว่า “ใช่ ส่งมาสดๆทุกวัน” ฮิฮิ ยิ้มกว้างเลยทีเดียว เมนูวันนี้ จึงเน้นปลาดิบซะส่วนใหญ่ แล้วก็นึกถึงไวน์ขาวที่ซื้อเตรียมเมื่อวานว่าจะเอามากินในร้าน แต่เค้าคิดค่าเปิดว่ะ เก็บไปกินที่โรงแรมก็ได้ สั่งไปกินอีกก่อนนอน ฮิ้ววววๆๆ ผมสั่งSalmon teriyaki และ Sashimi โอ้วววว อร่อยมากกกกก เนื้อปลานุ่ม หวานเนื้อปลา มันน้ำมันปลา สุดยอดจริงๆ กินจนหมด ก็สั่งเมนูที่สองนั่นล่ะ ไอ่ Sashimi ปลาดิบ อร่อยมาก ทำเอาคนที่ไม่ถนัดกินปลาดิบสักเท่าไร ซัดไปหลายคำ อร่อยมากกกกก วันนี้ทั้งวัน ช่วงเวลานี้มีความสุขมากที่สุดเลยล่ะ อาหารมื้อนี้ยกระดับจิตใจได้มากจริงๆ

              กินเสร็จก็เข้าที่พัก อาบน้ำกันก่อนจิบไวน์ยามดึก แล้วกินปลาที่สั่งมากินที่โรงแรม แล้วก็เริ่มเปิดขวดไวน์ เทลงแก้ววววว แสรดดดดด นี่ไวน์แดงนี่นา ไม่ใช่ไวน์ขาว เสียใจๆ เบิ้มมันบอกว่า ไวน์ขาวสำหรับกินกับเนื้อปลา ไวน์จะช่วยให้เนื้อปลาอร่อยขึ้น ส่วนไวน์แดงนั้นไว้กินกับเนื้อสัตว์ เสียใจๆ อดลิ้มลอง ไม่รู้ฟังกันยังไงเลยซื้อมา เอาว่ะ แดงก็กินได้ ดื่มด่ำไวน์ในค่ำคืนที่สาม วู้วววววว สุขใจๆ นอนอย่างสุขใจอีกคืนครับผม

to be continue, Let's follow us via Kiwi way

By Eun Junso : Let's follow us via Kiwi way @ Southern island, New Zealand [13-22May2011] : part III

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *